ดาราสาว “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในทวิตเตอร์ ทั้งที่คุณแม่เพิ่งล้มหัวฟาดพื้น และต้องการกำลังใจ สาเหตุเกิดจากอะไร?
วันที่ 23 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันนี้ #ปุ๊กลุกฝนทิพย์ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 มีผู้ทวีตข้อความเกี่ยวกับแฮชแท็กนี้กว่า 8 แสนครั้ง เมื่อช่วงเกือบ 11.00 น. ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แซงหน้าแฮชแท็กอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น #ผู้ติดเชื้อโควิด #Eurovision #ส่องทวิตยามเช้า และ #LMLY
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ประชาชาติธุรกิจ” สรุปเหตุการณ์ ก่อนที่นักแสดงสาวเจ้าบทบาท และอดีตนางงามซีนใหญ่ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียล ดังนี้
– เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปุ๊กลุกโพสต์อินสตาแกรมว่า คุณแม่ล้มหัวฟาดพื้น หยุดหายใจไป 10 นาที แต่คุณหมอช่วยปั๊มและฉีดยา คุณแม่จึงกลับมาหายใจได้ แต่ยังอยู่ในอาการโคม่า
– ที่ช้ำหัวใจที่สุดคือ เธอได้โทรไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ที่ “ราคาค่อนข้างสูง” เพื่อขอให้ช่วยส่งรถพยาบาลมารับคุณแม่ แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า “ไม่มีรถ” จึงรบกวนให้ทางโรงพยาบาลเตรียมเตียงและทีมงาน โดยเธอจะไปส่งคุณแม่ที่โรงพยาบาลเอง
– แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาลกลับไม่พบพนักงานตรงส่วนฉุกเฉินเลย ต้องบีบแตรเรียกเกือบ 30 วินาที พอมีพนักงานออกมาก็มีท่าทีไม่กระตือรือร้น ไม่มีเตียงสแตนด์บาย ทั้งยังให้เธอถอยรถ ทำเหมือนกับยกคุณแม่ออกจากรถไม่ได้ ทั้งที่เธอเปิดประตูให้แล้ว
– เมื่อคุณแม่เข้าห้องฉุกเฉิน หมอช่วยปั๊มหัวใจ เนื่องจากคุณแม่หมดลมหายใจแล้ว เธอโมโหมาก ๆ จึงถามพนักงานว่าทำไมไม่เตรียมเตียงตามที่เธอแจ้งล่วงหน้า
“เสียใจมาก กับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกว่าล้อเล่นกับชีวิตของคน มีกี่คนแล้วที่ไม่รอดเพราะทำงานกันแบบนี้ หรือเพราะคุณเห็นว่าการตายเจอทุกวัน เลยทำแบบนี้หรอ ถ้าเป็นครอบครัวคุณบ้างคุณจะทำงานแบบนี้ไหม ถ้าคุณแม่เราต้องเป็นอะไรไป แต่พวกคุณทำงานกันเต็มที่แล้วมันอีกเรื่องนึง ขอเป็นอุทาหรณ์” ข้อความบางส่วนจากอินสตาแกรมของปุ๊กลุก
– ต่อมาเธอจึงย้ายแม่ไปอยู่อีกโรงพยาบาล โดยทั้งครอบครัวช่วยกันสวดอธิษฐานขอชีวิตคืนให้กับแม่ พร้อมขอบคุณพระเจ้าที่คุณแม่กลับมามีลมหายใจ
“พระเจ้ายิ่งใหญ่จริง ๆ” ปุ๊กลุกโพสต์
– ต่อมา ปุ๊กลุก อัพเดตอาการของคุณแม่ เหมือนจะแย่ลงกว่าเดิม เนื่องจากสมองบวมมาก เพราะหยุดหายใจนานเกินไป อย่างไรก็ตาม เธอยังคงเชื่อในความอัศจรรย์ของพระเจ้า เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าพระเจ้าจะให้แม่ฟื้น และฝากทุกคนอธิษฐานเพื่อคุณแม่ให้เธอด้วย
– หลังปุ๊กลุกโพสต์ข้อความทั้งหมด ปรากฏว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชาวทวิตเตอร์ในหลายประเด็น เริ่มที่การกล่าวขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยทำให้แม่ฟื้น ซึ่งชาวทวิตเตอร์บางคนมองว่า เธอควรกล่าวขอบคุณหมอที่ช่วยชีวิตแม่ของเธอด้วย
– นอกจากนี้ยังมีบางความเห็นที่มองว่าเธอกำลังใช้อภิสิทธิ์ความเป็นดาราในโรงพยาบาล ทั้งที่หมอและพยาบาลต่างทำงานอย่างหนักในช่วงโควิดระบาด และเวรดึกในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ถูกลดคน ห้องฉุกเฉินบางแห่งเหลือบุคลากรเพียงไม่กี่คน
-บางความเห็นแนะนำเรื่องกฎหมายกับปุ๊กลุก เนื่องจากการถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอหรือเสียงขณะเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ตามมาตรา 7 ที่ระบุว่า ข้อมูลสุขภาพบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผย ที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ และหากมีการกระทำ โดยนำภาพ ข้อมูลไปเผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ ถือว่าผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
-บางคนแนะนำความรู้พื้นฐานเรื่องการช่วยชีวิตฉุกเฉินให้กับปุ๊กลุก และเสนอว่าควรบรรจุเรื่องนี้ในหลักสูตรด้วย
– ล่าสุด ปุ๊กลุกได้อัพเดตอาการของคุณแม่อีกครั้งว่า คุณแม่ดีขึ้นแล้ว สามารถหายใจได้เองเป็นวันแรก สอดท่ออาหารได้ และยกแขนขึ้นมาหลายครั้ง ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นสัญญาณที่ดี
-ปุ๊กลุกกล่าวขอบคุณคุณหมอและพยาบาลที่ดูแลคุณแม่เป็นอย่างดี รวมถึงขอบคุณคนไทยทุกคนที่อธิษฐานและอวยพรให้คุณแม่ เธอเชื่อว่าคุณแม่จะลุกฟื้นตัวขึ้นมา เพราะพลังจากทุก ๆ คน
– ที่สำคัญยังขอบคุณพระเจ้าที่ตอบรับคำอธิฐาน โดยบอกว่า การมีพระเจ้าเป็นที่พักพิงใจทำให้ไม่เกิดความกลัว และมีความหวังในใจขึ้นมา
-เธอยังกล่าวถึงประเด็นที่ถกเถียงกันว่า วันหนึ่งคงมีโอกาสอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด และต้องกราบขอโทษคนไทยทุกคนที่ไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ทุกคน
-ส่วนคุณหมอที่โรงพยาบาลแรก ครอบครัวได้ขอบคุณต่อหน้าคุณหมอหลายครั้ง รวมถึงบุคลากรที่ช่วยปั๊มหัวใจคุณแม่
-ทางโรงพยาบาลแรกได้ขอโทษและรับปากจะนำเรื่องแจ้งที่ประชุม เพื่อพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวดราม่าที่ดาราสาวเผชิญในช่วงนาทีวิกฤต ระหว่างที่มีการระบาดของโควิด ซึ่งชาวเน็ตถอดบทเรียนว่าทุกคนต้องใช้สติให้มากขึ้นในยามนี้