สรยุทธตอบกลับชาวเน็ต ถูกวิจารณ์รายงานแต่ข่าวหดหู่

สรยุทธฟาดกลับ ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง หลังโดนต่อว่ากลางเพจ นำเสนอแต่ข่าวหดหู่ ซ้ำเติมทุกวัน ไม่เคยให้กำลังใจ 

วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เพจเฟซบุ๊ก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวชื่อดัง ได้โพสต์แจ้งข่าวจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระบบ เมื่อ 10 ชม. ที่แล้วว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิดในระบบวันนี้ (20 ก.ค.) 126,765 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 3,711 ราย ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจอีก 855 ราย จากนั้นนายสารยุทธ์กล่าวว่า ขอให้ทุกคนปลอดภัยครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด

หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปได้ไม่นาน ปรากฏชื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น ว่า “เคยคิดที่จะเสนอข่าวให้กำลังใจประชาชนหรือจะมีแต่ซ้ำเติมให้มันหดหู่เพิ่มขึ้นทุกนาทีทุกชั่วโมง”

จากนั้น นายสรยุทธได้เข้ามาตอบคำถามดังกล่าว โดยระบุว่า “ใครซ้ำเติมครับ การไม่สนใจไยดีกับความสูญเสียต่างหาก ที่ผมรู้สึกว่าเป็นการเหยียบย่ำซ้ำเติม เหมือนกำลังเห็นชีวิตคนไม่มีความหมาย”

ทั้งนี้ ข้อความของพิธีกรชื่อดังมีคนเข้ามากดไลก์กว่า 5.8 พัน และแสดงความคิดเห็นต่อจากข้อความดังกล่าวของพิธีกรชื่อดัง กว่า 156 ความคิดเห็น

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นตอบกลับบนโพสต์ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนั้นว่า เขา (นายสรยุทธ) เสนอข่าวให้คนตระหนัก และป้องกันตัวเองมากขึ้น อีกอย่างไม่เสนอข่าวแบบนี้ คนในประเทศจะรู้ไหมครับว่ารัฐบาลบริหารสถานการ์ณได้ล้มเหลวจนมาถึงจุดนี้แล้ว ชีวิตคนทุกคนมีความหมายครับ ไม่อยากรับรู้ก็ไม่ต้องเปิดมือถือ ไม่ต้องเปิดข่าว

อีกรายแสดงความคิดเห็นบนโพสต์ดังกล่าวเช่นเดียวกันว่า “การที่ปิดหูปิดตา ดูดายกับความจริงที่มันกำลังเกิดขึ้นต่างหากคือการซ้ำเติม มีคนอีกมากที่นอนรอความตายที่บ้าน เมื่อวานมีคนนอนตายข้างถนน ผู้ป่วยนอนรอเตียงอยู่ข้างนอกตึก บางคนโดนไล่ออกจากหอเพียงเพราะติดเชื้อโควิดแล้วต้องนอนข้างถนนเพื่อรอเตียง บุคลากรทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตคนจนชีวิตตัวเองแทบจะเอาไม่รอด ฯลฯ เหล่านี้คุณไม่อยากรับรู้ก็เรื่องของคุณ แต่คนสังคมเขาต้องการรู้สถานการณ์ที่มันเป็นจริง ไม่ใช่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่มันแทบไม่มีหวังจากรัฐบาล ในเมื่อหวังเพิ่งรัฐบาลไม่ได้ ประชาชนก็ต้องช่วยเหลือกันเอง คุณจะนิ่งดูดายก็เรื่องของคุณ แต่คนอีกจำนวนมาก และคุณสรยุทธกำลังจับมือกันช่วยเหลือสังคม”