Wonderstruck มหัศจรรย์วันข้ามเวลา

เรื่อง : It’s a bell

​Wonderstruck สร้างจากนิยายชองไบรอัน เซลซ์นิก (Brian Selznick) บอกเล่าเรื่องราวของยุค 1927 และยุค 1977 โดยใช้เด็กสาวและเด็กหนุ่มเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง ในยุค 1927 โรส (มิลลิเซนต์ ซิมมอนส์) สาวน้อยน่ารักผู้บกพร่องทางการได้ยิน เธออาศัยอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากภาพยนตร์เงียบสู่ภาพยนตร์เสียง ทำให้เธอตัดสินใจออกเดินทางตามหาดาราชื่อดังอย่าง ลิเลียน เมย์ฮิว (จูลิแอน มัวร์) และในโลกคู่ขนานอย่างยุค 1977 เบน (โอ๊คส์ เฟ็กลีย์) หนุ่มน้อยผู้โชคร้ายจากปรากฏการ์ฟ้าผ่า ทำให้หูของเขาใช้การไม่ได้เช่นกัน ทำให้เบนตัดสินใจออกตามหาพ่อของเขา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร การผจญภัยของเด็กน้อยทั้งสองคนจึงเริ่มต้นขึ้น โดยมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน นั่นคือ นิวยอร์ก นั่นเอง

​ด้วยชื่อหนัง หน้าหนัง และเรื่องราวที่นำเสนอ หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องราวของการเดินทางข้ามเวลา จากอดีตมายังปัจจุบัน หรือเดินทางกลับไปยังอดีต คงต้องขอบอกไว้ ณ ตรงนี้ว่า หากใครที่กำลังคิดแบบนี้อยู่ละก็ ขอแนะนำให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์แฟนตาซี แอดเวนเจอร์แต่อย่างใด หนังเลือกที่จะเล่าเรื่องตัดสลับไปมาระหว่างสองยุคที่กล่าวมาข้างต้น โดยเรื่องราวหลัก ๆ ก็คือการออกเดินทางตามหาคำตอบให้กับคำถามของเด็กน้อยทั้งสอง หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ พาเราเข้าสู่บทสรุปที่ช่วยคลี่คลายปมต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้เป็นระยะตั้งแต่ต้น

​ความโดดเด่นของภาพยนตร์ Wonderstruck คงต้องยกให้กับดีเทลความละเอียดและความใส่ใจในด้านฉากและองค์ประกอบโดยรอบ อย่างเช่น ในยุค 1977 เป็นยุคที่ถือว่าความรู้ต่าง ๆ กำลังก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจอวกาศและวัฒนธรรมป็อบกำลังได้รับความนิยม เราจะเห็นสีสันต่าง ๆ ในยุคนี้ได้อย่างเต็มที่ นักแสดงประกอบที่แต่งตัวจัดจ้าน แฟชั่นยุค 1977 ที่ละลานตา แม้แต่การแต่งตัวของนักแสดงนำ น้องโอ็คส์ เฟ็กลีย์ ก็ไม่ธรรมดา (ทำเอาป้า ๆ ใจสั่นไปกับแฟชั่นทรงผมปัดเป๋ และกางเกงม้า) มาทางด้านยุค 1927 ผู้กำกับ ทอดด์ เฮย์น เลือกใช้ฟิล์มในการถ่ายทำเพื่อความสมจริง ซึ่งภาพที่ออกมาเป็นขาวดำ และมีจังหวะคล้ายกับภาพยนตร์เงียบที่ใช้ดนตรีบรรเลงร่วมในสมัยก่อน

​อีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจในตัวหนังเอามาก ๆ เลย ก็คือ ฉากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Museum of Natural History) และพิพิฑภัณฑ์ควีนส์ (Queens Museum) ซึ่งใช้เป็นจุดเริ่มต้นของและเป็นจุดสิ้นสุด หรือจุดเฉลยเรื่องราวทั้งหมดของเรื่อง ในฐานะคนดูรู้สึกว่าทุกครั้งที่ตัวละครอยู่ในฉากดังกล่าว จะเหมือนกับเราได้หลุดไปอยู่ในสถานที่นั้น ๆ กับตัวละครด้วย ซึ่งต้องยกให้กับความเก่งกาจของผู้กำกับที่ทำให้เราได้รู้สึกร่วมไปแบบนี้

​แต่แน่นอนว่าภาพยนตร์ก็ยังมีจุดที่ติดขัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คอยดึงให้เราหลุดออกจากเรื่องไปบ้าง อย่างเช่น ความสวยงาม ความละเอียดที่ผู้กำกับต้องการให้เราละเมียละไมไปกับเรื่องราว จนทำให้บางช่วงบางตอน ดูมา 10 กว่านาทีแล้วเรื่องราวยังไม่ขยับไปไหนเลย ต้องใช้ความอดทนในการดูพอสมควร ทำให้อาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่ชอบอะไรที่ตื่นเต้น รวดเร็วทันใจ และอีกข้อหนึ่งก็คือ บางปมปัญหา บางจุดที่ทิ้งไว้เหมือนจะเป็นจุดสำคัญมากของเรื่อง แต่พอดูจบแล้วจุดต่าง ๆ เหล่านี้กลับหายไป แอบรู้สึกเหมือนทำให้อยากแล้วจากไป หรือโดนทิ้งไว้กลางทาง (ฮ่า)

​แต่โดยสรุปแล้วถือว่าทำได้ดี หากใครเป็นสายหนังละเมียดละไมใส่ใจทุกรายละเอียด มีภาพสวย ๆ ดนตรีเพราะ ๆ ยุค 1977 ประกอบคลอไป อย่างเช่น เพลง Space Oddity กราวด์คอนโทรล ทู เทเจอร์ ทอม รับรองว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกเติมเต็มได้เป็นอย่างดี ​เข้าฉายจริงวันที่ 25 มกราคม 2561 ในโรงภาพยนตร์ ​