The Shape of Water งดงาม ตรึงใจ คล้ายต้องมนตร์สะกด

เรื่อง : It’s a bell

​ช่วงนี้แฟนๆ ภาพยนตร์จอเงินคงลุ้นกันแทบนั่งเก้าอี้ไม่ติด เพราะงานประกาศรางวัลผลงานด้านภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ รางวัล Academy Awards หรือ Oscar ครั้งที่ 90 ประจำปี 2018 ใกล้เข้าเต็มที และเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา สถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ได้ประกาศรายชื่อภาพยนตร์และนักแสดงที่เข้าชิงในสาขาต่าง ๆ และสำหรับภาพยนตร์ The Shape of Water ก็เรียกเสียงฮือฮาด้วยการเข้าชิงรางวัลมากที่สุดถึง 13 สาขาด้วยกัน ​ไม่ว่าจะเป็นสาขาใหญ่อย่างเช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (กิลเลอร์โม เดล โตโร), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (แซลลี ฮอว์กินส์), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (ออคทาเวีย สเปนเซอร์), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ริชาร์ด เจนกินส์) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังรวมไปถึง รางวัลในสาขา กำกับภาพยอดเยี่ยม, ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม, ลำดับเสียงยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นแท่นกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งภาพยนตร์สำหรับปีนี้เลยทีเดียว

เกริ่นมายืดยาว ก็ได้เวลาเข้าเรื่องกันเสียที The Shape of Water เป็นเรื่องราวของหญิงสาวพนักงานทำความสะอาดที่ชื่อว่า เอไลซ่า (แซลลี ฮอว์กินส์) เธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเงียบงันเนื่องจากไม่สามารถพูดได้ เอไลซ่ามีเพื่อนสนิทคือ เซลด้า (ออคทาเวีย สเปนเซอร์) พนักงานทำความสะอาดผิวสี และ ไจลส์ (ริชาร์ด เจนกินส์) เพื่อนบ้านนักวาดภาพประกอบ เอไลซ่าทำงานในห้องทดลองลับของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่มีความปลอดภัยสูงสุด และที่นั่นเองทำให้เธอได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ใต้น้ำ (ดิ๊ก โจนส์) ซึ่งถูกคุมขังและทำการทดลองภายใต้การดูแลของ สตริคแลนด์ (ไมเคิล แชนนอน) และเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มงอกงาม เรื่องราวความรักข้ามสายพันธุ์จึงเริ่มต้นขึ้น

​ผลงานที่ผ่านมา Pan’s Labyrinth ของผู้กำกับ กิลเลอร์โม เดล โตโร ได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่ 79 ใน 3 สาขาจากการเข้าชิง 6 สาขา คือ ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม, กำกับภาพยอดเยี่ยม และแต่งหน้ายอดเยี่ยม ส่วนผลงานอื่น ๆ ของเขาเรียกว่าห่างไกลจากรางวัลออสการ์ค่อนข้างมาก ทำให้ The Shape of Water ที่แม้ว่าจะเป็นแนวดราม่าแฟนตาซีที่ออสการ์ไม่ค่อยจะปลื้มสักเท่าไหร่ แต่ถือเป็นผลงานการกลับมาของ กิลเลอร์โม เดล โตโร ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งแรกที่ขอพูดถึงหลังจากชมภาพยนตร์แล้ว ก็คือ การแสดงของ แซลลี ฮอว์กินส์ ซึ่งเฉียบขาด คมกริบทุกเม็ด แม้ทั้งเรื่องเธอจะไม่ได้พูดเลยก็ตาม แต่ว่าท่วงท่า สายตา อารมณ์ร่วมในการแสดงเรียกว่ามาแบบจัดเต็ม ยามรักก็รู้สึกได้ถึงความหวานหยาดเยิ้มน่าหลงใหล แต่เมื่อถึงคราวต้องสู้แล้ว เราสัมผัสได้เลยว่าเธอคือหญิงแกร่งผ่านสายตาอันกร้าวแข็ง และการแสดงที่ทรงพลัง ปีนี้เลยแอบขอเชียร์แซลลี ฮอว์กินส์อย่างสุดใจ (แม้รายชื่อเข้าชิงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมของปีนี้ จะมาแรงแบบกินกันไม่ลงสักคนเลยก็ตาม)

ทางด้านรายละเอียดศิลป์ก็เรียกได้ว่าสวยงามตามท้องเรื่อง ผ่านการคิดและการออกแบบมาเป็นอย่างดี ถ้าปีที่แล้ว La La Land ทำให้คุณตื่นตาตื่นใจกับฉาก เสื้อผ้า หน้าผม ดนตรีประกอบ ปีนี้ก็คงต้องยกให้กับ The Shape of Water ที่แม้จะมาสไตล์ขรึม ๆ บรรยากาศดูอึมครึม ๆ เน้นสีเขียวของน้ำทะเลเป็นหลัก แต่กลับมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือจริง ๆ

สุดท้าย แม้ธีมหลักของเรื่องจะเป็นเรื่องราวความสวยงามของความรักระหว่างมนุษย์และสัตว์ประหลาด (ในสายตาของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเอไลซ่า) แต่พูดได้เต็มปากเลยว่า The Shape of Water เป็นภาพยนตร์ที่ครบรส ทั้งสุข เศร้า เหงา รัก แฝงด้วยอารมณ์ขัน แต่บทจะโหดก็เล่นเอาคนดูอย่างเราแอบยกมือปิดหน้า หรี่ตาข้างนึงกันเลยทีเดียว ทุกซีนทุกฉากร้อยเรียงได้เป็นอย่างดีไม่มีสะดุด ทำให้เราจมไปสู่โลกที่ผู้กำกับสร้างขึ้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

You’ll never know just how much I miss you
You’ll never know just how much I care
And if I tried I still couldn’t hide my love for you
You oughta know for haven’t I told you so
A million or more times

ต้อนรับเดือนกุมภาพันธ์ ด้วยภาพยนตร์รักต้องมนตร์สะกด เข้าฉายจริง 1 กุมภาพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์