คุยกับ 3 นักแสดงนำฝีมือเยี่ยม จากภาพยนตร์ดราม่าเขย่าขวัญ “All The Money In The World”

(l to r) Maurizio Lombardi, Michelle Williams and Mark Wahlberg in TriStar Pictures' ALL THE MONEY IN THE WORLD.
ภาพยนตร์ดราม่าเขย่าขวัญเรื่องเยี่ยม “All the Money in the World ฆ่า ไถ่ อำมหิต” การประชันบทบาทสุดเข้มข้นการันตีด้วยดีกรีเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสบทบชายยอดเยี่ยม กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้

“All the Money in the World ฆ่า ไถ่ อำมหิต” บอกเล่าเรื่องราวของ จอห์น พอล เก็ตตี้ (รับบทโดย คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) มหาเศรษฐีโรงกลั่นน้ำมันที่ขึ้นชื่อว่ารวยที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งยุค 70 ผู้ไม่ยอมเสียเงินแม้แต่แดงเดียวในการไถ่ชีวิตหลานชายคนโปรด ผู้เป็นแม่คือ เกล ฮาร์ริส (รับบทโดย มิเชล วิลเลียมส์) สะใภ้มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยไม่ได้เศษเสี้ยวของพ่อสามี จึงต้องหาทางช่วยเหลือลูกชายด้วยตัวเอง โดยได้รับความช่วยเหลือจาก เฟรตเชอร์ เชส (รับบทโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก) ผู้ช่วยของมหาเศรษฐีเก็ตตี้ ในการตามหาลูกชายอันเป็นที่รักโดยไม่หวังพึ่งบารมีของคนเป็นปู่อีกต่อไป

ก่อนจะได้ลุ้นระทึกกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไปพูดคุยกับ 3 นักแสดงนำของเรื่อง คือ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์, มิเชลล์ วิลเลียมส์และ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก

Q : ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยคริสโตเฟอร์ที่ได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้

พลัมเมอร์ : ขอบคุณครับ ผมยังตื่นเต้นมากตอนที่รู้ว่าได้รับการเสนอชื่อ มันเกินความคาดคิดเหมือนกันนะ แต่ผมภูมิใจกับมัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมยังตื่นเต้นไม่หายมาถึงตอนนี้เลย

Q : คุณครองสถิติผู้ชนะรางวัลออสการ์ที่อายุมากที่สุดตอนปี 2011 คุณคิดว่าคุณสามารถทำลายสถิตินั้นได้ไหมในปีนี้ ?

พลัมเมอร์: หวังว่านะ ตอนนั้นผมคว้าออสการ์ตัวแรกจากเรื่อง Beginners ตอนอายุ 82 ตอนนี้ผม 88 แล้วผมคงไม่คาดหวังอะไรมาก (หัวเราะ)

Q : คุณทำได้ยังไงที่ต้องมารับบทแทนคนอื่นแต่ยังสามารถแสดงออกมาได้มีคุณภาพขนาดนี้ ?

พลัมเมอร์: จะว่าแทนเลยก็ไม่ใช่หรอก เพราะมันเหมือนต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ทั้งวิธีการตีความตัวละคร การแสดงตอบรับร่วมกับตัวละครอื่น ๆ จริงอยู่ว่ามีเวลาน้อยมาก แต่ทุกอย่างออกมาตามแผน ต้องยกเครดิทให้ผู้กำกับเลย ผมเองรู้สึกเศร้าแทน เควิน (เควิน สเปซีย์) เควินเก่งมาก เขาเป็นนักแสดงพรสวรรค์ เรื่องที่เกิดกับเขามันทั้งน่าเศร้า ทั้งน่าเสียดาย

Christopher Plummer is J. Paul Getty in TriStar Pictures’ ALL THE MONEY IN THE WORLD.

Q : ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวละครของพวกคุณหน่อย

พลัมเมอร์: ผมเล่นเป็น จอห์น พอล เก็ตตี้ ผู้บุกเบิกธุรกิจน้ำมันในตะวันออกกลางซึ่งทำให้เขารวยมหาศาลตั้งแต่อายุน้อย ๆ การลักพาตัวนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โลกได้รู้จักเก็ตตี้ เขาค่อนข้างเก็บตัว ไม่ออกสื่อ แน่นอนว่าเขาบูชาเงิน เขารักสิ่งสวยงามเพราะมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เขาผิดหวัง มันมีความงามบริสุทธิ์ในสิ่งของพวกนี้ที่เขาหาไม่ได้ในมนุษย์ ผมคิดว่าเขามีมนุษยธรรมเหมือนกันนะแม้ว่าเขาจะแสดงมันออกมาอย่างไร้เยื่อใยตอนตอบคำถามสื่อเรื่องค่าไถ่ก็ตาม เหตุผลเขาก็ฟังขึ้นอยู่นะที่เขาบอกว่าเขามีหลานหลายคน ถ้าเขายอมจ่ายให้คนนึง หลานของเขาที่เหลืออาจจะเสี่ยงตกเป็นเหยื่อลักพาตัวครั้งอื่นอีกก็ได้ มันคือตรรกะที่เย็นชาซึ่งบทมันเอื้อให้เราดำดิ่งลงไปในนั้น โดยเฉพาะเมื่อมันเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในครอบครัวของเขา

วิลเลียมส์: ฉันเล่นเป็นเกล หญิงแกร่ง แม่ของจอห์น พอล เก็ตตี้ ที่ 3 ซึ่งถูกจับไปเรียกค่าไถ่ เธอต้องทำทุกอย่าง เธอต้องเอาชนะทั้งพ่อสามีสุดเขี้ยวและโจรลักพาตัวเพื่อตามตัวลูกชาย แน่นอนมันเป็นดราม่าเขย่าขวัญ แต่ฉันยังคิดว่ามันมีความเป็นเฟมินิสท์ด้วย มันสำเร็จว่าจะเป็นไงถ้าต้องเป็นผู้หญิงที่ต้องต่อสู่ในโลกของผู้ชาย แต่ทำสุดความสามารถเพื่อให้ได้อำนาจต่อรอง มันมีหลายซีนในหนังที่เธอถูกมองข้าม ละเลย เพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง ฉันชอบตัวละครพวกนั้น

วอห์ลเบิร์ก: ผมรับบทเป็น เฟล็ตเชอร์ แชส ผู้ช่วยสุดเท่ ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนักกับเก็ตตี้นายจ้างของเขา เขาเคยเป็นหัวหน้าฝีพายของฮาวาร์ด เคยเป็นนักประดาน้ำ หน่วยซีล เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ทำธุรกิจน้ำมัน เขาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทน้ำมันบริษัทอื่นตอนที่คุณเก็ตตี้ตระหนักได้ว่าเขาจะเป็นประโยชน์ได้ขนาดไหน จนเขาได้เข้ามาทำงานกับเก็ตตี้ ออยล์ เต็มเวลา

Michelle Williams and Mark Wahlberg star in TriStar Pictures” ALL THE MONEY IN THE WORLD.

Q : ได้ข่าวว่าพวกคุณแต่ละคนก็มีวิธีเข้าถึงบทบาทตามแบบของตัวเอง

วิลเลียมส์: ค่ะ มันแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเกลเลย นอกเหนือจากที่ฉันเจอในอินเทอร์เน็ต ฉันศึกษาประวัติเกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านคลิปวิดีโอในยูทูป บทความ และหนังสือ มันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อฉันได้ทำงานกับ แจนตี้ เยตส์ นักออกแบบเสื้อผ้าระดับเทพของริดลีย์ และนักออกแบบทรงผมและแต่งหน้า คุณเชื่อมั้ย แค่ใส่รองเท้าตามตัวละครมันช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาแก่คุณได้ มันช่วยให้ฉันเข้าใจและจินตนาการออกได้ว่าเธอเป็นใคร

วอห์ลเบิร์ก: ผมอ่านบทออกเสียงสี่รอบต่อวัน ผมรู้บทตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านมันไปหลายรอบจนแทบไม่ต้องนึกบทเลยระหว่างถ่ายทำ เสื้อผ้าก็ช่วยนะ เฟลตเชอร์ แชส แต่งตัวมีเอกลักษณ์ ด้วยความที่เขาเป็นอดีตซีไอเอ เราต้องการให้เขาเท่เหมือน สตีฟ แมคควีน ริดลีย์ไม่ชอบกางเกงขาม้าหรือสูทปกกว้าง ๆ เฟลตเชอร์ต้องดูกลมกลืนไปกับคนอื่น ๆ ได้ คุณแค่ใส่เอี๊ยมกับเสื้อกั๊กก็เข้าซีนได้เลย บทพูดมันลื่นไหลและงดงามมาก

พลัมเมอร์: สำหรับผมมันอาจจะง่ายหน่อยเพราะผมเคยเจอเก็ตตี้ตัวจริงในยุค 70 แต่ก็จริงอย่างที่มาร์คกับมิเชลพูด เสื้อผ้าช่วยเราได้เยอะจริง ๆ พอทีมเสื้อผ้าจับผมใส่สูทของ Saville Row ตัวละครนี้เหมือนมีชีวิต สูทตัวหนึ่งของเก็ตตี้จะอยู่กับเขาไป 20 – 25 ปี ตอนเราหาข้อมูลเราเจอว่าเขาใส่รองเท้าคู่เดิม เน็คไทอันเดิมเป็นสิบปีเลย มันแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าเขาจะรวยล้นฟ้าขนาดไหนนิสัยตระหนี่จะติดตัวเขาไปจนวันตาย

Q : การทำงานกับริดลีย์ สก็อตต์ เป็นอย่างไรบ้าง?

วิลเลียมส์: เขาคือปรมาจารย์ เขาแม่นยำ เขาสื่อสารสิ่งที่เขาต้องการให้คนอื่นรับรู้ได้ง่าย นั่นแปลว่าเราทำงานด้วยความรวดเร็ว ไม่มีอะไรติดขัดซึ่งมันสนุกมาก มันเหมือนเล่นรับส่งลูกบอลครีเอทีฟ คุณต้องตื่นตัวตลอดเวลาถึงจะคว้ามันไว้ได้ เขามอบพื้นที่ให้คุณได้สำรวจและพัฒนาตัวละครของตัวเอง แต่ถ้าคุณต้องการเขาเมื่อไหร่เขาพร้อมช่วยคุณเสมอ ฉันชอบมาทำงาน เขามีไอเดียเต็มตัวที่พร้อมทำให้คุณแปลกใจเสมอ ถ้าซีนมันเริ่มจำเจเขาจะโยนทิศทางใหม่ลงไป ทำให้น่าตื่นเต้นตลอดเวลา

พลัมเมอร์: เขาเป็นมืออาชีพ เขารู้ตัวว่าต้องการอะไร เขาไม่ต้องให้คุณเล่นใหม่เป็นร้อย ๆ เทคเพราะเขาเหมือนตัดต่อในหัวไปเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นผู้กำกับสไตล์โอลด์สคูล ระดับเดียวกับฮิทช์ค็อก หนังของเขากลมกล่อม ประเด็นที่เขาเลือกเล่ามันต่างจากคนอื่น ๆ ซึ่งผมยกย่องเขาในด้านนี้มาก เขาทดลอง เขาคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ แต่เขายังรู้ด้วยว่าตัวเองต้องการนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องโปรดของเขาหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องที่มีตุ๊กตาหมีร่วมแสดง แต่สิ่งที่โดนใจเขามากที่สุดการแสดงที่เป็นธรรมชาติ

วอห์ลเบิร์ก: ผู้กำกับคุณภาพ ผมยินดีอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับเขา ผมถือว่าผมเป็นคนโชคดีคนนึงเลยนะ มารู้ทีหลังว่าเขาชอบ Ted กับ Boogie Nights ด้วยยิ่งทำให้ผมภูมิใจขึ้นไปอีก