รางวัลดนตรี ยังสำคัญอยู่มั้ย ในยุคคนฟังเพลงไม่แคร์สื่อ

หลายปีแล้วที่บ้านเราเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมดนตรีซบเซา ยุคที่สื่อแมสไม่มีอิทธิพลชี้นำรสนิยมคนฟังเพลง จะว่าไปในระดับโลกก็คล้าย ๆ กัน สื่อแมสมีอิทธิพลน้อยลง รางวัลดนตรีก็มีอิมแพ็กต์ต่อคนฟังเพลงน้อยลง

ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากหลาย ๆ อย่างประกอบกัน หนึ่ง-เพราะตัววงการเพลงที่ซบเซาลงไปเอง ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ของมัน สอง-เพราะสื่อมีอิทธิพลน้อยลงในหลาย ๆ ด้าน

อีกเหตุผลส่วนหนึ่ง ซึ่งสำคัญก็คือ เมื่อคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้น สามารถเสาะแสวงหาอะไรได้หลากหลายมากขึ้น และความเฟื่องฟูของโซเชียล

มีเดียทำให้เกิดสังคมแยกย่อย จากก่อนหน้านี้ ผู้คนเคยสนใจอะไรที่ได้รับความสนใจในหมู่มาก ก็เปลี่ยนแตกแยกย่อยออกเป็นรสนิยม-วัฒนธรรมกลุ่มย่อย ไม่ต้องคอยฟังสื่อรีวิวแนะนำ ไม่ต้องคอยติดตามว่าใครได้รางวัลจากเวทีไหนจึงจะถือว่า “ดี” เพราะแต่ละคนมีเพลงแบบที่ เจ๋ง คูล ดี ชอบ ในแบบของตัวเอง ถ้าจะเชื่อสื่อก็เชื่อสื่อเฉพาะทางที่แยกย่อยตามความสนใจของตัวเอง

สมัยก่อน ศิลปินหน้าใหม่ ๆ หากได้รับรางวัลดนตรีสักรางวัล จะกลายเป็นที่สนใจ ปรากฏเป็นข่าวได้ออกรายการโทรทัศน์ มีผลอย่างมากต่อยอดขายเพลง คล้าย ๆ กับหนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรต์ และมีผลต่ออนาคตในวงการ

หนึ่งรางวัลดนตรีสำคัญที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับเชืื่อถือกันในวงการดนตรีเมืองไทยมานานกว่า 30 ปีก็คือ “สีสัน อะวอร์ดส”ที่เปรียบเหมือน “แกรมมี่ อวอร์ดส เมืองไทย”

เมื่อก่อน สีสัน อะวอร์ดส เคยมีอิทธิพลต่อวงการเพลงและคนฟังเพลงอย่างมาก ส่วนในปัจจุบัน แม้ว่ายังได้รับความเชื่อถือจากคนในวงการเพลง แต่อิทธิพลที่มีต่อคนฟังนั้นลดน้อยลงไป ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่แค่รางวัลนี้ แต่รางวัลอื่น ๆ ก็ได้รับความสนใจน้อยลงเช่นกัน อย่างที่พูดไปในตอนต้น

คำถามก็คือ ในยุคนี้ “รางวัลดนตรี” ยังมีความสำคัญอยู่มั้ย สำคัญกับใคร สำคัญอย่างไร ฝั่งศิลปินคนสร้างสรรค์เพลงประสานเสียงกันตอบว่า “ยังสำคัญอยู่แน่นอน” แต่สำคัญอย่างไร แค่ไหนล่ะ ?

บิ๊กแอส วงดนตรีที่ได้รับรางวัล “เพลงร็อกยอดเยี่ยม” จากสีสัน อะวอร์ดส บอกว่า “รางวัลเหมือนกับน้ำมัน เป็นสิ่งที่ทำให้รถคันหนึ่งเดินหน้าไปได้ เพราะรางวัลมันบอกเราว่ายังมีคนสนใจ ยังมีคนฟัง มีคนติดตาม โดยเฉพาะการได้รางวัลจากนักวิจารณ์ มันมีค่าสำหรับเราเสมอ นักวิจารณ์คือคนที่ฟังแล้วออกความเห็น ติ ชม ซึ่งมันมีค่ามาก ๆ รางวัลคือสิ่งที่บอกเราว่าให้เราปรับปรุงต่อไป”

โลโมโซนิค ที่คว้า 2 รางวัล “ศิลปินกลุ่มร็อกยอดเยี่ยม” และ “อัลบั้มร็อกยอดเยี่ยม” บอกว่า “เราควบคุมให้คนอื่นรู้สึกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น (หมายถึงความรู้สึกที่คนสนใจ-ให้ความสำคัญกับรางวัล) แต่ว่าเรารู้สึกดีมาก รางวัลมีผลต่อเราอย่างมากครับ มีผลต่อกำลังใจในการทำงาน วันนี้มีความสุขครับ แทนที่ว่าได้รางวัลแล้วเราจะรู้สึกว่าเป็นแรงกดดัน หนักขึ้น แต่เรากลับรู้สึกว่าภาระมันเบาลง ในช่วงที่เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราเล่นดนตรีแล้วเรามีความสุขไหม วันนี้เราตอบได้ว่าเรามีความสุข

เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่มันต่างจาก 10 ปีที่แล้ว ตอนนี้มันอาจจะเป็นเรื่องของคนสองคนคือ สีสัน อะวอร์ดส กับ โลโมโซนิค ซึ่งเมื่อมีคนเห็นแค่คนหนึ่งก็รู้สึกดีมากแล้วนะครับ คล้ายกันกับที่ปล่อยเพลงออกไป มีคนเห็นแค่หนึ่งคนก็รู้สึกดี ถ้านับไทม์ไลน์ชีวิตของเรา เราดูทีวีแล้วเห็นว่ามีประกาศผลรางวัลสีสัน อะวอร์ดส เราก็อยากรู้ว่าใครได้รางวัล วันนี้

เราได้สัมผัสมัน แค่มีชื่อเข้าชิงก็เท่แล้ว เรารักสถาบันนี้ครับ อย่างรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส เราก็ตามอยู่ทุกปี มันการันตีอะไรหลายอย่าง เราตามฟังเพลงที่ได้รางวัลในบางสาขาที่เราไม่รู้ หรืออย่างบิลบอร์ดชาร์ตเราก็ตามฟัง มันเป็นสถาบันสำหรับคนนอกวงการเหมือนกันนะ อย่างเราเป็นวงร็อก ถ้าเพลงฮิปฮอปขึ้นชาร์ต มันก็เป็นโอกาสที่เขาส่องแสงให้เราเห็น รางวัลนี้ก็เหมือนกันครับ”

ด้าน เดอะ ริชแมน ทอย บอกว่า ที่ได้รับรางวัล “ศิลปินคู่หรือกลุ่มยอดเยี่ยม” และ “อัลบั้มยอดเยี่ยม” จากเวทีสีสันฯ บอกว่า “ตั้งแต่มีโซเชียลมีเดียทุกอย่างมันแตกออกไปเป็นกลุ่มต่าง ๆ แต่ถึงแม้จะเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เราอาจจะได้รางวัลในกลุ่มเล็ก ๆ แต่ผมว่ามันอาจจะกระจายกันออกไป มีการบอกปากต่อปากว่าอัลบั้มนี้ดี ผมว่าแค่นี้ก็พอใจแล้วครับ”

พวกเขาบอกอีกประเด็นนอกเหนือจากความรู้สึกส่วนตัวที่ได้รับรางวัลก็คือ การที่ยังมีการมอบรางวัลดนตรี เป็นความหวังว่าดนตรีจะยังอยู่

“มีอย่างหนึ่งที่เรากลัวลึก ๆ ก็คือ กลัวว่าดนตรีมันจะตาย แต่พอเราเห็นว่ารายการประกาศรางวัลต่าง ๆ มันยังมีอยู่ แสดงว่ามันก็ยังมีอะไร รางวัลทำให้เรามีความหวังว่าวงการเพลงมันยังจะอยู่ต่อไปได้ และมีผลต่อกำลังใจในการทำเพลง จริง ๆ เราทำอัลบั้มเพราะเราอยากทำอัลบั้ม และมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังซัพพอร์ตการทำอัลบั้ม ผมว่าระบบการทำดนตรีมันยังรันอยู่แหละ คือการทำเพลงก็ยังอยู่ต่อไป สื่อที่ดีก็ยังอยู่ต่อไป มันการันตีว่ามันยังมีอะไรบางอย่างที่มันยังเกาะร่วมกันได้ แม้จะเป็นกลุ่มน้อย ๆ แต่ผมก็เชื่อว่ามันอาจจะคัมแบ็กกลับมานะ แต่จะรูปแบบไหนก็ยังไม่รู้”

ได้ข้อสรุปว่า รางวัลดนตรียังสำคัญ อย่างน้อยก็สำคัญกับศิลปินคนสร้างสรรค์ผลงานเพลง

ในฝั่งของคนมอบรางวัล สีสัน อะวอร์ดส ได้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการจัดงานมอบรางวัลดนตรีในยุคนี้ 2 เรื่องหลัก ๆ

คือ หนึ่ง-ศิลปินออกเพลงน้อยลง ในแต่ละปีมีการทำเพลงออกมาเป็นอัลบั้มน้อยมาก ซึ่งยากต่อการคัดเลือกผลงานเข้าพิจารณาพิจารณา สอง-การหางบประมาณในการจัดงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้งานเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้


ในด้านหนึ่ง รางวัลดนตรีเป็นกำลังให้คนทำงานเพลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นความยากลำบากในการจัดงานมอบรางวัลแล้ว ต้องบอกว่า “รางวัล” ก็ต้องการกำลังใจเช่นกัน