แอน ทองประสม ชี้การปรับโครงสร้างองค์กรของช่อง 3 ทำให้ละครอนุมัติยากขึ้น งบประมาณผลิตลดลง มองเป็นเรื่องดี ให้ผู้จัดมีลายเซ็นของตัวเอง ขณะที่ทางออกวิกฤตนี้ ต้องแข็งแรง อยู่หมัด ทำให้คนดูชอบจริง ถึงอยู่รอด
จากกรณีที่มีการรายงานว่า บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) จะมีการปรับโครงสร้างองค์กร และทำให้ต้องมีการเลย์ออฟพนักงานบางส่วน เพื่อให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้ โดยตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้บริหารได้อธิบายถึงปัญหาของอุตสาหกรรมสื่อ การลดลงของรายได้ การผลิตรายการ ละคร และคอนเทนต์ต่าง ๆ มีการแข่งขันสูง จนทำให้รายได้ที่เคยได้ไม่ตรงตามเป้า ขณะที่รายจ่ายประจำสูง
ทำให้ต้องมีการลดพนักงานครั้งใหญ่ เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 30 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้องค์กรอยู่ต่อไปได้ โดยระบุว่าเดิมทีจะมีการปรับโครงสร้างตั้งแต่หลังสงกรานต์ 2567 แต่ก็พยายามยื้อมาจนไม่ไหว
ล่าสุด มติชนออนไลน์ ได้มีโอกาสคุยกับ แอน ทองประสม นักแสดงและหนึ่งในผู้จัดละครของช่อง 3 โดยช่วงหนึ่งได้พูดคุยถึงการทำงานของผู้จัดละครและการผลิตละครในปัจจุบัน หลังจากการปรับโครงสร้างองค์กร
วิกฤตช่อง 3 ที่มีการปรับโครงสร้างองค์กร กระทบกับงานผู้จัดของเราไหม ?
“ในรายละเอียดภายในของช่องเราจะไม่ทราบ เพราะว่าเราไม่ได้เข้าไปอยู่ข้างใน แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้จัดก็จะรู้แต่ว่าละครจะถูกคัดสรรค่อนข้างละเอียดขึ้น ไม่ได้ว่าอนุมัติได้ง่าย ๆ ต้องนำเสนอกันหลายรอบนิดนึง
ทุกวันนี้กว่าละครจะออกมาได้แต่ละเรื่องต้องผ่านหลายด่าน แต่ก่อนอาจจะเร็วกว่านี้ แต่ตอนนี้ก็จะช้าลงหน่อย อย่างตอนนี้ของเรามีอยู่ในกระบวนการที่เตรียมเสนออนุมัติ แต่ยังไม่ได้อนุมัติออกมานะคะ ปกติเราก็จะเสนอทีละเรื่องอยู่แล้ว แต่ที่เห็นว่าปลายปีเรามี 2 เรื่องชนกัน เพราะว่าเป็นเรื่องที่มากองรวมกัน จริง ๆ เราทำเสร็จไปตั้งนานแล้ว
ส่วนตัวมองว่ามันเป็นอะไรที่ดี เราก็เห็นด้วยกับมาตรการอะไรบางอย่างของช่อง ชัดเจนไปเลยว่าช่องอยากได้อะไร อยากให้เรานำเสนออะไร แล้วไม่ต้องการให้เราเอาอะไรออกมา ไม่แน่ใจว่าแคแร็กเตอร์ของแต่ละผู้จัดก็อาจจะได้โจทย์ต่างกันหรือเปล่า อย่างของเราก็จะเป็นรักโรแมนติก ถ้าเรานำเสนอแนวบู๊ไปเขาก็คงไม่อนุมัติ แต่ถ้าเป็นผู้จัดท่านอื่นที่ถนัดบู๊ช่องก็อาจจะอนุมัติก็ได้ เหมือนทางช่องคงอาจจะให้ผู้จัดแต่ละคนมีลายเซ็นแคแร็กเตอร์ของใครของมันที่ชัดเจนไปเลย”
นอกจากละครจะอนุมัติยากขึ้นแล้ว งบประมาณก็ลดลงเยอะด้วยไหม ?
“ด้วยค่ะ อย่างเช่นไปต่างประเทศถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ไป แต่ว่าในคุณภาพที่ทำอยู่ก็เหมือนเดิม เพียงแต่อะไรที่เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจจะยังไม่จำเป็นก็ยังไม่ทำ แต่โดยทางช่องก็รักษามาตรฐานในการทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอะไรที่ดูเป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่มากเกินไป ที่ใช้เงินเยอะ ๆ ไม่จำเป็นก็เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน
แต่ทั้งหมดมันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงที่เราจะรับได้ เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่ทำบิ๊กโปรดักชั่นอยู่แล้ว เราเป็นละครผู้หญิงที่ไม่ได้ตู้มต้าม แล้วก็ไม่ได้เป็นละครประวัติศาสตร์ใหญ่โต
ถ้าอย่างนั้นอาจจะใช้เงินเยอะ ซึ่งอาจจะกระทบหนักหน่อย ส่วนเราก็ทำไปแบบนี้ มินิมอลของเรา ซึ่งก็ยังอยู่ในจุดที่เรารับได้อยู่ ถามว่าทางออกของวิกฤตนี้คืออะไร ทางออกก็คือทุกคนต้องแข็งแรงถึงจะรอด คือเราต้องแข็งแรงจริง ๆ ต้องทำให้อยู่หมัด และทำให้คนดูชอบจริง ๆ ถึงจะรอดค่ะ”
สำหรับผลประกอบการของ BEC ในไตรมาส 3/2567 นั้น มีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทอยู่ที่ 45.9 ล้านบาท ลดลง 35.7% จากไตรมาส 2/2567 แต่เพิ่มขึ้น 21.2% จากไตรมาส 3/2566
โดยผลประกอบการที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนนั้น เป็นผลจากเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ในไตรมาส 3/2567 ลดลง ซึ่งต้องรับมือกับแรงกดดันที่มาจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางจากหลายปัจจัย และประชาชนมีกำลังซื้อที่ลดลงจากค่าครองชีพที่มีการปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลต่อรายได้จากการขายเวลาโฆษณาของบริษัทในไตรมาสนี้
บริษัทมีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์และบริการอื่น ๆ ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายละครไปต่างประเทศ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม และธุรกิจใหม่ “ธุรกิจจัดกิจกรรมและบริหารศิลปิน” รวมอยู่ที่ 249.0 ล้านบาท (23.3%) ของรายได้จากการดำเนินงานของกลุ่ม หรือเพิ่มขึ้น 35.8% จากไตรมาส 2 และเพิ่มขึ้น 28.0% จากไตรมาส 3 ของปี 2566
บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น ในงบฯ แสดงฐานะการเงินรวม 4,323.2 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2567 และมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน 1,397.9 ล้านบาท