“โอ๋ ภาคภูมิ” มั่นใจ HOMESTAY คือหนังแฟนตาซีที่มีดีทั้งภาพและเนื้อหา

ถ้าพูดถึงค่ายหนังสัญชาติไทยที่การันตีมาตรฐานด้วยความสำเร็จระดับปรากฏการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หลายคนคงนึกถึงค่ายเดียวกันคือ GDH หรือค่าย GTH ในอดีต ซึ่งตอนนี้ GDH กำลังมีหนังกระแสแรงอีกหนึ่งเรื่องฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ คือเรื่อง HOMESTAY ผลงานการกำกับของ โอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับหนังที่สร้างชื่อจากหนังผีสยองขวัญหลายเรื่อง

กับเรื่องนี้ โอ๋ ภาคภูมิ มาแปลก เพราะไม่ใช่หนังผีแบบที่เคยทำ แต่เป็นหนังที่เจ้าตัวบอกว่า บอกไม่ได้ว่าเป็นหนังแนวไหน เพราะมีทั้งความแฟนตาซี ทริลเลอร์ ดราม่า ความรัก ครอบครัว เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมญี่ปุ่นเรื่อง “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม (Colorful)” แสดงนำโดย เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ และ เฌอปราง BNK48

เราได้คุยกับผู้กำกับ โอ๋ ภาคภูมิ ผู้กำกับและผู้เขียนบทของเรื่องที่บอกว่า ภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เพราะพอใจกับผลงานของตัวเองมาก ถึงขนาดว่าถ้าเป็นหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตก็จะไม่เสียดาย

ประทับใจอะไรในบทประพันธ์นี้ถึงหยิบขึ้นมาทำ

เป็นบทประพันธ์ที่จีดีเอชซื้อไว้ตั้งหลายปีแล้ว ทางจีดีเอชเขาคงรู้สึกว่า ผมน่าจะเหมาะก็เลยอยากให้ผมลองอ่านดู พออ่านหนังสือแล้ว ผมรู้สึกชอบตอนจบมาก ตอนแรกก็คิดว่าจะทำดีหรือเปล่า เพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยทำ เราไม่เคยข้ามไปสเตจนั้น ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่พอมาคิดอีกที ด้วยความที่ชอบตอนจบมากก็เลยตัดสินใจทำ

อันไหนที่บอกว่าไม่เคยทำ

ผมทำหนังทางสยองขวัญ ไม่เคยเล่าด้านสว่างของคนเลย ถ้าทำเรื่องที่ไม่ใช่สยองขวัญก็จะเป็นด้านหม่น ๆ แต่ว่าเรื่องนี้มันมีด้านสว่าง มีเรื่องราวความสัมพันธ์ของคน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก ซึ่งผมยังไม่เคยทำในหนังใหญ่ ก็รู้สึกกังวลว่าเราจะคงหัวใจของหนังสือเล่มนี้ไว้ได้หรือเปล่า แต่ด้วยความที่ชอบตอนจบมาก เลิกคิดถึงมันไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจทำ ซึ่งเขามีทีมที่ทำอยู่ก่อนหน้าอยู่แล้ว ก็คือน้องเขียนบทสองสามคนที่เริ่มเขียนมา 1 ปี แล้วผมเข้าไปทำอีกประมาณ 1 ปี 7 เดือน รวมเป็นเวลาประมาณ 3 ปีที่เริ่มทำโปรเจ็กต์นี้

ตอนแรกก็คิดว่าบทดัดแปลงมันคงง่าย คงเอามาทำได้เลย แต่จริง ๆ มันยากมาก คือถ้าเราเขียนใหม่มันก็เป็นบทของเราไปเลย อันนี้ต้องบิดเนื้อเยอะมาก เพราะเรื่องญี่ปุ่นมันเอามาใช้กับสังคมไทยไม่ได้ เราแทบจะเขียนบทใหม่ แต่ต้องคงหัวใจของเรื่องเอาไว้ด้วย ซึ่งอันนี้คือสิ่งที่ยาก

หัวใจของมันคืออะไร

หัวใจของมันคือตอนจบของเรื่อง มันพูดเรื่องสัจธรรมชีวิต การมีชีวิตอยู่ ซึ่งต้องทำให้คนดูรู้สึกถึงตอนจบนั้นให้ได้ ผมต้องทำให้ความประทับใจของผมส่งไปถึงคนดูได้อย่างไม่ตกหล่น และเขาต้องรู้สึกมากกว่าตอนที่อ่านหนังสือ เพราะหนังมันเป็นภาพ อันนี้คือสิ่งที่ผม concern มาก ผมรู้สึกว่าถ้าทำหนังแล้ว สิ่งนี้มันไม่ออกในตอนจบ ผมจะผิดหวังตัวเองมาก ยากที่สุดในชีวิตแล้วครับตั้งแต่ที่ผมทำบทหนังมาตลอดชีวิต

ทำบทเสร็จ โล่งไปครึ่งหนึ่งแล้วหรือยัง

โอ้โห บทเสร็จแล้วก็หนักใจว่าเขียนอะไรไป เพราะว่าที่เขียนไปแต่ละอย่างมันคือสิ่งที่ท้าทายหมดเลย อย่างเขียนคนคุยกันนอกตึกไร้แรงโน้มถ่วง ผมเขียนให้มันน่าสนใจ ให้มันดูหวือหวาขึ้น ซึ่งจะทำให้ดีมันทำได้ยาก เรารู้สึกว่าเราต้องทำให้ดี ต้องพุชตัวเองไปเยอะมาก ต้องการความช่วยเหลือจากทุก ๆ ฝ่ายมากเป็นพิเศษกว่าหนังที่เคยทำมา มันเลือดตาแทบกระเด็นทุกอย่างที่เราพยายามจะเข็นหนังเรื่องนี้ไป เราไม่อยากให้มันเป็นหนังที่โชว์เทคนิค CG แต่เราอยากให้ภาพมันไปด้วยกันได้กับเรื่องที่ละเอียดอ่อน โดยที่คนดูไม่รู้สึกว่ามันแยกออกจากกัน หรือไม่รู้สึกว่าเราทำให้เรื่องมันเสียหาย

นักแสดงทำไมเลือกเจมส์ และเฌอปราง

ตอนแรกผมไม่ได้มองเจมส์อยู่ในสายตาเลยครับ มันเป็นบทที่ผมไม่เห็นภาพว่าใครจะแสดง แล้วทางโปรดิวเซอร์ก็บอกว่า ลองดูเจมส์ไหม ผมก็ยังไม่ชอบ จนได้เจอเจมส์ แล้วก็ให้น้องลองแสดง รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงมาก เขาทำการบ้านมาอย่างดี เตรียมพร้อมทุกอย่าง เขาเป็นคนฉลาด เวลาผมบอกให้เขาทำอะไร เขาเปลี่ยนแปลง เขาบิดหรือต่อยอดสิ่งที่เราพูดได้ และเขาเป็นคนเล่นละเอียด ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

ส่วนเฌอปราง ตอนแรกก็เห็นในเฟซบุ๊ก ตอนนั้นเขายังไม่ดัง แต่รู้สึกว่าคนนี้หน้าเหมือนพาย (นางเอก) ในความรู้สึกเรา ก็ชวนมาแคสต์ พอมาปุ๊บ ก็รู้สึกว่าเขาก็ดู charming ดูน่าสนใจ ดูขึ้นกล้อง เราเห็นเขาแล้ว เราอยากเห็นเขาแสดงอีก อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ และเขามีเสน่ห์แบบที่เหมือนพาย อินเนอร์ของเขากับพายในบางมิติมันมีความคล้ายกัน แต่ในขั้นแรกที่เจอกัน เขายังไม่เปิดประตูความรู้สึก เราก็ต้องมาจูนกัน ครูร่มฉัตรที่เขามาฝึกให้ เขาก็ช่วยทุกอย่างเพื่อให้เฌอปรางมีความรู้สึกมากขึ้น ไม่เป็นหุ่นยนต์ เราทำเวิร์กช็อปกันหลายครั้ง ผมก็รู้สึกว่า “ตายแล้ว…” ทุกครั้งที่เห็นเขาแสดง เขาไม่เซนซิทีฟเลย แต่พอทำงานไปเรื่อย ๆ เขาพัฒนาตัวเอง จนเขาแสดงได้ เขาทำความเข้าใจมัน จนมาถึงคิวสุดท้ายที่ผมเห็นเขาแสดง ผมรู้สึกว่า โห เฌอปรางเป็นนักแสดงแล้ว

ชื่อเรื่อง HOMESTAY ขึ้นมายังไง

จริง ๆ แล้วมันเป็นสคริปต์ที่อยู่ในบทหนังและอยู่ในหนังสือ ในหนังสือพูดว่าร่างนี้คือโฮมสเตย์ ก็รู้สึกว่าโฮมสเตย์มันก็คือคีย์เวิร์ดของเรื่องทั้งหมด โฮมสเตย์มันคือบ้านที่เราไปพัก ไปใช้ชีวิตเหมือนเขา แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ของเรา มันคือบ้านเขา เราไปกินแบบเขา อยู่แบบเขา และบางครั้งเราก็อินไปคิดว่ามันเหมือนบ้านเรา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนก็เหมือนอยู่โฮมสเตย์อยู่แล้วครับ ทุกคนเราอยู่ชั่วคราว แล้วก็อินไปเรื่อย ๆ คิดว่ามันเป็นของเรา แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ของเราเลยสักอย่างเดียว มันก็เหมาะสมที่สุด ก็เลยตั้งชื่อโฮมสเตย์

พี่เก้งดูแล้วว่ายังไงบ้าง

พี่เก้งแกไม่ค่อยพูดอะไร แต่วันที่หนังเสร็จแกมาบอกว่า ผมว่ามันดีนะ พูดนิ่ง ๆ ไม่ได้บิลด์ไม่ได้อะไรมาก ซึ่งแค่นี้สำหรับผมมันก็ฟูลฟิลแล้วครับ

พอใจมากแค่ไหน

ผมภูมิใจกับมันมาก ผมยอมรับคำวิจารณ์ทุกอย่าง ผมรู้สึกว่าภูมิใจมาก เราละเอียดกับมันจนรู้สึกว่าไม่มีตรงไหนแล้วล่ะที่เราจะใส่ไปได้ เพราะเราใส่ความตั้งใจของเราไปหมดแล้ว นักแสดง ทีมงาน ทุก ๆ คนใส่กันไปเต็มที่แล้ว ผมนั่งดูแล้วผมรู้สึกว่ามันเกินกว่าที่คาดหวัง ก็อยากให้อยากพิสูจน์ ให้ทุกคนรู้ว่ามันเป็นยังไง อยากให้คนที่ชอบบทประพันธ์นี้ เขายังรู้สึกชอบมันเหมือนที่ตอนที่อ่านหนังสือ หรืออาจจะชอบมากกว่า อันนี้คือสิ่งที่ผมคาดหวัง ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นหนังอีกเรื่อง แต่ผมคิดว่าผมอาจจะไม่ทำหนังอีกแล้วก็ได้ ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของผมแล้วนะ ผมจะทำแบบหันกลับมามองแล้วจะไม่เสียใจกับมัน

รายละเอียดหรือความยากต่าง ๆ ที่ว่ามา อาจจะเป็นคอหนังจริง ๆ ถึงจะมองเห็น แต่ถ้าจะชวนคนทั่วไปที่ไม่ใช่คอหนังไปดู อะไรคือสิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้

ผมว่ามันเป็นหนังแฟนตาซีที่มีภาพน่าตื่นตาตื่นใจร่วมกับเนื้อเรื่องที่มีพลังมาก ๆ ที่สร้างจากวรรณกรรม มันมีภาพที่ดีและมีสตอรี่ที่ดี และผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะใช้เวลาปลายปีนี้ดูหนังสักเรื่อง ผมคิดว่ามันเหมือนของขวัญที่จีดีเอชมอบให้คนดู ทั้งเรื่องราวที่ผมว่ามันน่าจะมีความน่าประทับใจที่ทุกคนเชื่อมโยงได้ เป็นเรื่องความรัก เรื่องชีวิต เรื่องครอบครัว เรื่องความมหัศจรรย์ในการมีชีวิตของคน เหมือนเซเลเบรตการมีชีวิตน่ะครับ ผมอยากมอบเป็นของขวัญให้คนดู ผมไม่อยากให้พลาดกัน มันมีไม่กี่ครั้งหรอกที่เราจะมีโอกาสทำหนังแบบนี้ จะมองว่าเรื่องมันยากก็ยาก แต่ว่ามันก็รีเลตกับทุกคนเพราะเป็นเรื่องชีวิต