Bohemian Rhapsody ความยิ่งใหญ่ตลอดกาลของราชาในนามราชินี

กว่า 27 ปีที่เฟรดดีทิ้งมรดกแห่งเสียงเพลงไว้เป็นภาพทรงจำแก่แฟนเพลงและศิลปินรุ่นหลัง วันนี้โปรเจ็กต์หนังชีวประวัติแห่งวงควีน “Bohemian Rhapsody” งานกำกับที่การันตีโดยชื่อของไบรอัน ซิงเกอร์ จาก X-Men และ Superman Returns จะพาเราย้อนดูเส้นทางดนตรีของควีน ตลอดจนชวนเด็กรุ่นใหม่อย่างผู้เขียนทำความรู้จักกับความยิ่งใหญ่ของควีนไปพร้อม ๆ กัน ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเศษ ๆ

ก่อนหน้านี้เราได้ยินชื่อของควีนวงร็อกแอนด์โรลระดับโลกที่มีเพลงอยู่บนปลายยอดธงสูงสุดอย่าง “We will rock you” “We are the champions” หรือ “Bohemian Rhapsody” แต่ในส่วนของอัตชีวประวัติ

เรื่องราวระหว่างทาง กระทั่งชีวิตส่วนตัวหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่มีส่วนในการก่อรูปความเป็นควีน สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยทราบมาก่อน และแน่นอนหนังเรื่องนี้ให้คำตอบที่ว่าได้อย่างครบถ้วน

รามิ มาเลค ผู้รับบท เฟรดดี เมอร์คิวรี แม้จะไม่ใช่นักแสดงระดับท็อปลิสต์ของฮอลลีวูด แต่ก็ทำให้เรารู้สึกไม่น้อยว่าเฟรดดีได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งจากความพยายามในการเรียนรู้ท่าทางบุคลิกภาพของเฟรดดี ความนิ่งผสมความเกรี้ยวกราดในวันที่เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิตบนเส้นทางการทำงาน ความรัก และจิตวิญญาณของตัวเฟรดดีเอง

เอกลักษณ์สำคัญของเขาอย่างฟันหน้าทำให้มาเลคต้องเข้ารับการวัดช่องปาก เพื่อสวมฟันปลอมที่รับกับหน้าได้พอดิบพอดี การติดฟันปลอมในครั้งนี้อาจจะขัดหูขัดตาเราไปบ้างในบางฉาก ราวกับมันไปลดสมรรถนะการพูดไดอะล็อกของเขา

แต่ความสามารถทางการแสดงของมาเลคก็ทำให้เรามองข้ามไปได้กับการแสดงที่เจ้าตัวเก็บได้เกือบทุกเม็ด อย่างจังหวะการปิดปาก ความไม่มั่นใจในการพูดของเฟรดดี รวมถึงเปอร์ฟอร์แมนซ์ ตั้งแต่เวทีในผับ ไต่ระดับจนถึงความยิ่งใหญ่บนคอนเสิร์ตการกุศล “Live Aid”

ด้านชีวิตส่วนตัวของเฟรดดี หลายเสียงวิจารณ์กระหน่ำถึงการพลิกแพลงสับเปลี่ยนให้เกิดความกระชับ หรือเพิ่มอรรถรสมากขึ้น แต่เรากลับมองว่า นั่นไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องหลักหลุดหายไปเลย หนังยังคงเล่าได้ครบ และไม่เป็นการโฟกัสชีวิตส่วนตัวของเฟรดดีมากจนทำให้สมาชิกวงคนอื่นกลายเป็นไม้ประดับแทน

และฉากที่ผู้เขียนขอยกให้เป็นมาสเตอร์พีซของเรื่องเลยก็คือ คอนเสิร์ตการกุศล “Live Aid” ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงเวลานั้นควีนได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดติดเพดานของวงไปเรียบร้อยแล้ว หลายคนรวมถึงแฟนเพลงเองก็ไม่ได้คาดคิดว่า คอนเสิร์ตใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยศิลปินตัวท็อปอย่าง เอลตัน จอห์น, มาดอนน่า หรือ พอล แม็กคาร์ตนีย์ จะส่งให้ไลฟ์เอด กลายเป็นสุดยอดการแสดงของควีนไปตลอดกาล

ความยิ่งใหญ่ในครั้งนั้นถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ชนิดที่ต่อให้ไม่ใช่บิ๊กแฟนของควีน อาจจะเป็นเพียงเบบี้บูมเมอร์ที่โตมาในยุคนั้น หรือคนรุ่นใหม่วัยยี่สิบต้น ๆ อย่างเราก็สามารถอินไปกับการจำลองคอนเสิร์ตระดับตำนานกว่า 20 นาทีในฉากส่งท้ายได้ราวกับได้ดูหนัง ได้นั่งไทม์แมชีน และได้ดูคอนเสิร์ตไปพร้อม ๆ กัน

ความคิดถึงเสียงของเฟรดดีถูกส่งผ่านจากจอเงินสู่คนดูอย่างแน่นอน การันตีจากรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาของคนดูหลาย ๆ คนในโรง

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เสียงร้องของเฟรดดีจะยังคงก้องกังวานในหมู่มวลแฟนเพลงทั่วโลกไปตลอดกาล..