คอนเสิร์ตอันยอดเยี่ยมของจอห์น เมเยอร์ ผู้ชายที่เก่ง หล่อ เท่ ครบเครื่องความเป็นศิลปินตัวจริง

ท้องฟ้าสีเทา : เรื่อง

จอห์น เมเยอร์ (John Mayer) นักร้อง-มือกีตาร์เพลงบลูส์ที่เรียกได้ว่าเป็น “เทพแห่งศตวรรษ 21” ผู้มีพร้อมทั้งรูปงามและความสามารถเป็นเลิศได้ออกเวิลด์ทัวร์ครั้งใหม่ และมีประเทศไทยของเราเป็นหนึ่งในตารางทัวร์ด้วย “John Mayer Asia Tour Live in Bangkok 2019” ชื่อเต็ม ๆ ของทัวร์คอนเสิร์ตนี้ ซึ่งทำการแสดงไปเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกในเมืองไทยของศิลปินหนุ่มคนนี้ที่แฟน ๆ รอคอยมานานสิบกว่าปี

ความสามารถทั้งการเล่นกีตาร์ การร้องเพลง การแต่งเพลงของจอห์น เมเยอร์ เป็นที่ประจักษ์แก่หูตาคนฟังเพลงทั่วโลกมานานนับตั้งแต่ Room for Squares ผลงานเพลงอัลบั้มแรกของเขาถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 2001 นับแต่นั้นมา เขาได้รับการตอบรับจากคนฟังเพลงอย่างดีมาตลอด เช่นกันกับเวทีมอบรางวัลดนตรีที่ดูเหมือนว่าคณะกรรมการจะรักในผลงานของเขาเป็นอย่างมาก เห็นได้จากการที่เขาคว้ารางวัลแกรมมี่ อวอร์ดสมาแล้วถึง 7 รางวัล

โชว์ของจอห์น เมเยอร์ในบ้านเราดูจะแตกต่างจากที่อื่นตรงที่พี่จอห์นแกเล่นแหกเซ็ตลิสต์ที่เคยเล่นที่ประเทศอื่น เรียกว่าผิดทุกโผที่แฟน ๆ ทำการบ้านกันมา มีหลายเพลงที่พี่แกเดินไปคุยกับวงดนตรีแบ็คอัพว่าจะเล่นเพลงไหนกัน แล้วก็ลุยเลย แต่ก็เป็นการด้นสดบนความตั้งใจเรียงเพลงตามไทม์ไลน์จากอัลบั้มแรกมาจนถึงอัลบั้มล่าสุด ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นความพิเศษของโชว์ในบ้านเรา  

คอนเสิร์ตเริ่มต้นขึ้นในเวลาประมาณ 20.45 น. เปิดโชว์ด้วยเพลง No Such Thing ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มแรกของเขาที่คนดูสาว ๆ กรี๊ดต้อนรับเสียงดังสนั่น ตามด้วยเพลง Why Georgia และ Your Body Is Wonderland จากอัลบั้มเดียวกัน เป็นเพลงที่คนดูกรี๊ดดีใจและช่วยกันร้องอย่างเสียงดังฟังชัด

จากนั้นเป็น Clarity หนึ่งซิงเกิลจากอัลบั้มชุดที่สอง Heavier Things แล้วตามด้วย Daughters อีกเพลงจากอัลบั้มเดียวกันที่หยิบมาเล่นในรูปแบบอะคูสติก

เข้าสู่ช่วงอัลบั้มชุดที่สาม Continuum ซึ่งเลือกมาหลายเพลง เริ่มจาก Trust Myself ต่อด้วย Gravity เพลงช้าที่แทบจะฆ่าคนดูตายตั้งแต่เสียงกีตาร์ท่อนแรกขึ้นมา เพลงนี้จอห์นโชว์โซโลกีตาร์ได้บาดใจ คนดูส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือกันยกใหญ่ แถมช่วงท้ายเพลงเขายังให้นักร้องคอรัสของเขาโชว์พลังเสียงร้องยาว ๆ ก่อนจะรัวกีตาร์ปิดเพลงไปอย่างสวยงาม

จากเพลงที่ถือเป็นหนึ่งไฮไลต์ของโชว์ต่อด้วย Belief ตามด้วย Stop The Train ที่และ Waiting on the World  to Change ที่ทำให้อารมณ์ความเคลิ้มกับเสียงดนตรีพุ่งขึ้นสูงมาก ณ ตอนนั้น  แต่ความเคลิบเคลิ้มนั้นถูกเบรกด้วยการพักการแสดงประมาณ 15 นาที

แม้ว่าอารมณ์ถูกเบรกไป แต่พอเริ่มการแสดงครึ่งหลัง พี่จอห์นก็ปลุกอารมณ์ความรู้สึกของคนดูกลับขึ้นมาอย่างไวตั้งแต่เพลงแรกคือ Slow Dancing จากอัลบั้ม Battle Studies ผลงานชุดที่สี่ที่ออกมาเมื่อปี 2009  แล้วตามด้วย Heartbreak Warfare เพลงจังหวะกลาง ๆ สนุก ๆ ที่หลังจบเพลงนี้คนดูกรีดร้องบ้าคลั่ง ขณะที่ฝั่งนักร้องนักดนตรีบนเวทีกำลังคุยกันว่าจะเล่นเพลงอะไรต่อ ซึ่งเพลงที่ถูกเลือกคือ Who Says เพลงจังหวะชิล ๆ กับเสียงกีตาร์ที่น้อย ๆ แต่แสนจะฟังเพลิน ตามมาด้วย  Edge of Desire ปิดท้ายช่วงอัลบั้ม Battle Studies ไปอย่างถึงใจ

เปิดช่วงอัลบั้มชุดที่ห้า Born and Raised ด้วยเพลง Queen of California ตามด้วย Something Like Olivia อย่างสนุกสนานกันไป

แล้วเข้าสู่ช่วงอัลบั้ม Paradise Valley ด้วยเพลงที่จอห์นบอกว่า เป็นเพลงที่พิเศษมาก ๆ สำหรับตัวเขา เป็นเพลงที่มีความหมายดีมาก และเขารู้สึกดีเวลาที่ได้เล่น เป็นเพลงที่ไม่ดัง แต่เป็นเพลงที่ลึกซึ้ง ซึ่งเพลงนั้นคือ Waiting on the day ซึ่งพี่จอห์นร้องและเล่นให้เราเห็นถึงความพิเศษของมันจริง ๆ น้ำเสียงและวิธีการร้องแบบปล่อยอารมณ์ลื่นไหลที่เราได้ยินทำให้รู้สึกว่าเขามีความสุขกับเพลงนี้มาก ต่อด้วย Paper Doll เพลงนี้โดยภาพรวมแอบเนือยนิด ๆ แต่เสียงกีตาร์อันลื่นไหลที่เป็นพระเอกของเพลงก็ยังคงทำให้เพลิดเพลินอยู่ดี

ต่อเนื่องด้วยเพลงจากอัลบั้มที่เจ็ด The Search for Everything อัลบั้มเต็มล่าสุดของเขาที่ออกมาเมื่อปี 2017 ที่จัดมาสี่เพลง เริ่มจาก Love on the weekend เพลงที่มีไลน์กีตาร์ที่ฟังเพลินมาก ๆ ต่อด้วยเพลงช้า Changing ที่แฟน ๆ ช่วยกันร้องเสียงดัง ขณะที่บนเวทีก็ส่งท้ายเพลงด้วยการดวลกีตาร์อย่างเมามัน ตามด้วย In the blood จบเพลงนี้ พี่จอห์นแนะนำนักดนตรีแบ็คอัพ ก่อนจะปิดท้ายด้วย Still Feel Like Your Man เพลงจังหวะเพลิน ๆ เนื้อหาพูดถึงคนรักเก่า ป็อปสตาร์สาวเคที่ เพอร์รี่ ในพาร์ตดนตรีเพลงนี้พี่จอห์นโชว์ของอีกแล้ว สำหรับคนฟังเพลงธรรมดาอย่างเราก็รู้สึกแค่ว่าโห เพลินจัง แต่สำหรับนักดนตรีคงได้เห็นฝีมือกีตาร์ระดับครูจากพี่จอห์นในเพลงนี้อีกดอกนึง

จบเพลง Still Feel Like Your Man จอห์นขอบคุณคนดูสั้น ๆ แค่ว่า “Thank you” แล้วลงจากเวทีไป คนดูโห่ร้อง ปรบมือกันอยู่ไม่กี่นาที พี่จอห์นและชาวคณะก็กลับขึ้นเวทีมา ปิดท้ายการแสดงจริง ๆ ด้วยเพลงล่าสุด New Light และ Guess I Just Feel Like จบเพลงจอห์นกับนักดนตรีและคอรัสรวม 9 ชีวิต (ถ้านับไม่ผิด) มาขอบคุณคนดูอีกครั้งที่หน้าเวที แล้วร่ำลากันไปแบบที่คนดูไม่มีข้อเรียกร้องอะไรอีกแล้ว เพราะคอนเสิร์ตจบลงแบบเต็มอิ่มจริง ๆ

ต้องออกตัวว่าผู้เขียนฟังเพลงจอห์น เมเยอร์บ้างนาน ๆ ที พูดตรง ๆ คือไม่ได้เป็นแฟนเพลงของผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย ซึ่งการดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่เราไม่ได้เป็นแฟน มีโอกาสที่จะเบื่อหรือไม่ก็ “เฉย ๆ” สูงมาก แต่ไม่ใช่กับคอนเสิร์ตของผู้ชายคนนี้ แม้ว่าก่อนการแสดงจะเริ่มขึ้น เราเข้าฮอลไปด้วยความเซ็งระดับหนึ่ง เพราะก่อนจะเข้าไปได้นั้นมันช่างน่าเบื่อหน่าย ต้องต่อคิวยาวสองรอบ ตรวจแล้วตรวจอีกซ้ำซ้อนสองชั้น …แต่โชว์ดี ๆ ของพี่จอห์นก็เยียวยาทุกสิ่ง

การแสดงของจอห์น เมเยอร์ ในเวลา 3 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มและมีความสุขเอามาก ๆ จากสองสามเพลงแรกที่รู้สึกแค่ว่า เพราะดีจัง การดูสดทำให้รู้สึกชอบกว่าตอนฟังมาสเตอร์มาก ๆ แต่พอผ่านไปสี่ห้าเพลงเหมือนต้องมนตร์สะกด รู้ตัวอีกทีคือ อ้าว นี่ฉันนั่งยิ้มอยู่อย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ววะ รู้สึกเคลิ้มไปกับเสียงกีตาร์และเพลงเพราะ ๆ ของเขาที่แสดงต่อเนื่องลื่นไหล และชอบความเป็นธรรมชาติบนเวทีของเขามาก ๆ ซึ่งความเป็นธรรมชาติตรงนี้อธิบายออกมายากมาก ต้องสัมผัสด้วยตัวเอง

ความรู้สึกฟินกับคอนเสิร์ตนี้เกิดขึ้นแบบเกินคาด จนช่วงท้าย ๆ แอบรู้สึกว่า ถ้าเล่นต่อ ก็อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าเวลาจะล่วงเลยไปดึกดื่นแค่ไหน

คอนเสิร์ตนี้ทำให้ได้เห็นว่าทั้งความสามารถทางดนตรี ความเท่ เสน่ห์ของผู้ชายคนนี้มันผสานกันลงตัวไปซะหมด เขาแค่ขึ้นเวทีมาร้องเพลงและเล่นกีตาร์ไปเรื่อย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการเอ็นเตอร์เทนที่ไม่ต้องเอ็นเตอร์เทน เขาพูดคุยกับคนดูอยู่บ้างสองสามช่วง บางช่วงพูดสั้น บางช่วงพูดยาวหน่อย แต่เป็นการพูดคุยธรรมดาที่ไม่ต้องออดอ้อน ไม่ต้องเอนเตอร์เทนเอาอกเอาใจคนดูสักนิด เพราะการเอ็นเตอร์เทนเกิดขึ้นในทุกวินาทีที่เขาร้องและเล่นกีตาร์อยู่แล้ว

คอนเสิร์ตนี้ดีด้วยเพลงและการแสดงของศิลปิน (และนักดนตรีแบ็คอัพล้วน) ล้วน ๆ แบบที่ส่วนประกอบอื่น ๆ ไม่มีผลเลย บนเวทีมีแค่ฉากหลังที่เป็นลายเหมือนผ้ามัดย้อมที่อยู่นิ่ง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวใด ๆ มีเพียงสีของมันที่เปลี่ยนไปตามแสงไฟเท่านั้น ซึ่งก่อนเริ่มโชว์เราได้ยินเสียงคนดูแอบแซวว่า ฉากเวทีโคตรกระจอกเลย เป็นลายผ้ามัดย้อม …แต่เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น สิ่งที่ทุกคนน่าจะคิดคล้ายกันคือ แล้วไง ใครแคร์ว่าฉากหลังเป็นรูปอะไร หรือวิชวลดีไซน์เว่อร์วังแค่ไหน ในเมื่อการแสดงของศิลปินอันเป็นหัวใจหลักของคอนเสิร์ตมันดีเลิศขนาดนี้

สรุปว่า ประทับใจแบบ 10 เต็ม 10 เป็นคอนเสิร์ตยอดเยี่ยมที่มอบประสบการณ์และความรู้สึกพิเศษมาก ๆ