Ed Sheeran Divide Tour 2019 ความสามารถขั้นเทพกับโชว์ยิ่งใหญ่ระดับสเตเดี้ยมทัวร์

เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran) ศิลปินหนุ่มหัวแดงเพลิงจากประเทศอังกฤษเดินหน้าทำเงินด้วยการออกทัวร์คอนเสิร์ตอัลบั้ม Divide อีกครั้ง โดยอัพสเกลจากอารีน่าทัวร์เป็นสเตเดี้ยมทัวร์ หลังจากที่ Divide ทัวร์ทำเงินไป 432 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองแชมป์คอนเสิร์ตทำเงินสูงสุดในปี 2018 ไปอย่างงดงาม

ทัวร์ครั้งก่อน มีกรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในเส้นทางการทัวร์ และทัวร์ครั้งใหม่นี้ก็เช่นกัน แม้ว่าคอนเสิร์ตเมื่อค่ำคืนวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมานั้นทิ้งระยะห่างจากครั้งที่แล้วเพียงปีนิด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ถี่มาก ๆ แต่หนุ่มคนนี้ก็มีแฟนเพลงมากพอที่จะทำให้สนามราชมังคลากีฬาสถานเต็มไปด้วยคนดูในระดับที่หนาตา ไม่โหรงเหรง

เอ็ด ชีแรน เลือกวงวัน โอเค ร็อก (One Ok Rock) ศิลปินร็อกรุ่นใหม่ไฟแรงจากญี่ปุ่นที่กำลังไปได้สวยในตลาดอินเตอร์เป็นวงเปิดโชว์ตลอดการทัวร์ในเอเชีย

One Ok Rock

การแสดงเริ่มต้นขึ้นในเวลา 19.15 น. วัน โอเค ร็อก ขึ้นเวทีตรงเวลา สี่หนุ่มมากพลังนำเพลงฮิตและเพลงจากอัลบั้มใหม่ล่าสุดรวม 8 เพลงมาสร้างความมันให้คนดูท่ามกลางอากาศร้อนระอุเป็นเวลา 45 นาที แล้วบอกลาคนดูตอนสองทุ่ม มอบเวทีคืนให้เจ้าของงาน

เอ็ด ชีแรน ขึ้นเวทีมาคนเดียว (เช่นเคย) ในเวลา 20.30 น. กับเพลง Castle on the Hill ซิงเกิลแรกของอัลบั้ม Divide ที่เปิดโชว์อย่างสนุก ต่อด้วย Eraser อีกเพลงสนุก ๆ จากอัลบั้มล่าสุด ที่หนุ่มเอ็ดโชว์ทักษะการแร็ปชนิดลืมหายใจ

จบเพลงเขาพักเหนื่อยคุยกับคนดูว่าดีใจที่ได้กลับมาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทยอีกครั้ง ก่อนจะพูดถึงช่วงชีวิตหนึ่งของตัวเองเพื่อนำเข้าเพลง The A Team เพลงดังที่แจ้งเกิดเขาเมื่อปี 2011 เพลงเพราะ ๆ เพลงนี้แสดงสดในบรรยากาศการแสดงกลางแจ้ง และคนดูช่วยกันเปิดไฟโทรศัพท์ ให้ภาพที่สวยงามน่าประทับใจมาก ถ้าอากาศเย็นมีลมพัดแรง ๆ กว่านั้นสักหน่อยก็คงจะดีมากขึ้นไปอีก

จากนั้นกลับไปสู่ความสนุกอีกครั้งในเพลง Don’t จากอัลบั้ม X (Multiply) ที่นักร้องหนุ่มากความสามารถคนนี้เอาเพลง New Man จากอัลบั้มใหม่มาร้องสวมลงไปในช่วงหลัง ๆ กลายเป็นเนื้อเพลงนึงในดนตรีอีกเพลง ซึ่งก็ออกมาลงตัว จากนั้นเปลี่ยนอารมณ์ด้วย Dive เพลงช้าเจ็บปวดในอัลบั้มล่าสุด

จบเพลง Dive เอ็ดพูดคุยยาว ๆ ถึงเรื่องคนดู ซึ่งมีจำนวนหนึ่งเป็นคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาดู ไม่ว่าจะเป็นคนที่มากับแฟน หรือคุณพ่อที่พาลูกมาดู เอ็ดบอกว่าคนเหล่านี้จะไม่มีอารมณ์ร่วมและไม่ได้สนใจการแสดงมากเท่าที่ควร และเขายังรู้ทันคนดูขนาดที่บอกว่า คุณพ่อมักจะชวนลูกกลับก่อนคอนเสิร์ตจบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติด แถมยังพูดถึงปัญหาการจราจรอันแสนสาหัสในกรุงเทพฯด้วย ทำเอาคนดูขำกับความจริงอันขมขื่นกันไป

หลังจากพูดคุยกันช่วงใหญ่ ๆ เอ็ดก็เข้าสู่เพลงที่ขอยกให้เป็นไฮไลต์ของโชว์นี้ คือ Bloodstream ซึ่งผู้เขียนประทับใจสุด ๆ ในการแสดงครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้คิดว่าเอ็ดอาจจะเลือกเปลี่ยนไฮไลต์ของโชว์ไปไว้ที่เพลงอื่น แต่ปรากฏว่าครั้งนี้ Bloodstream ก็ยังเป็นเพลงเด่นและยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยตัวเพลงที่มีหลายมิติในเพลงเดียว ทั้งเมโลดี้เพราะ ๆ จังหวะลื่นไหล และมีท่อนที่ดนตรีไต่ระดับขึ้น เอื้อให้ใส่ลูกเล่นได้มากมายในการแสดงสด ซึ่งเอ็ดก็ได้ใส่ความร็อกเข้าไปอย่างเข้มข้น

จบเพลง Bloodstream ไปอย่างสุดประทับใจ แล้วเขาก็พูดถึงการแต่งเพลง ซึ่งมีบางเพลงที่แต่งให้คนอื่น เป็นการเกริ่นเข้าสู่เพลง Love Yourself ที่แต่งให้จัสติน บีเบอร์ ซึ่งเขานำมาเล่นในโชว์ครั้งนี้ด้วย

จากนั้นเขาคุยกับคนดูอีกครั้ง (สังเกตว่าครั้งนี้เอ็ดพูดคุยกับคนดูเยอะขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก) ก่อนเข้าเพลงต่อไป เอ็ดบอกว่าโดยทั่วไปศิลปินก็อยากให้คนดูช่วยกันร้องเพลงดัง ๆ แต่สำหรับเพลงนี้เขาอยากให้คนดูฟังอย่างเงียบ ๆ นั่นก็คือ Tenerife Sea เพลงช้าเบา ๆ จากอัลบั้ม X ที่ฟังเงียบ ๆ แล้วดีจริง ๆ

จากเพลงที่ฟังกันเงียบ ๆ ก็ต่อด้วยเมดเลย์เพราะ ๆ Lego House / Kiss Me / Give Me Love จากอัลบั้มชุดแรก ที่แฟนเพลงรุ่นแรกกรี๊ดกันน่าดูเลย จบเมดเลย์ เอ็ดพูดคุยกับคนดูอีกครั้ง ก่อนจะกลับสู่อารมณ์สนุกด้วยเพลง Galway Girl จากอัลบั้มล่าสุด ตามด้วย I See Fire จากอัลบั้ม X ที่เป็นอีกเพลงน่าประทับใจในโชว์นี้

จากนั้นเป็นเซตเพลงรักโรแมนติกที่ได้รับเสียงกรี๊ดดังสุด ๆ นั่นก็คือ Thinking Out Loud ที่เอ็ดร้องได้อย่างถึงใจ ตามมาด้วย Photograph เพลงรักสุดฮิตที่มาพร้อมกับภาพวิชวลอบอุ่น ๆ เพลงนี้น่าจะเป็นหนึ่งเพลงที่คนดูส่วนใหญ่ประทับใจอันดับต้น ๆ ของโชว์นี้ แล้วต่อเนื่องด้วยเพลงหวาน Perfect จากอัลบั้มล่าสุดที่ถูกใจคนมีความรักทั้งบ้านทั้งเมือง

เต็มอิ่มกับเพลงเพราะ ๆ ซึ้ง ๆ หวาน ๆ กันแล้วก็มาเข้าช่วงท้ายโชว์ด้วยสองเพลงสนุก ๆ Nancy Mulligan เพลงสีสันจัดจ้านจากอัลบั้มล่าสุด และ Sing จากอัลบั้มก่อนหน้านั้น แล้วเอ็ดก็หายเข้าไปหลังเวทีแบบไม่ได้ร่ำลา คนดูส่งเสียงเรียกร้องกันอยู่แว้บเดียว ยังไม่ได้ตะโกนเสียงดังและจริงจังพอถึงขั้นจะเรียกว่าเป็นการอังกอร์ เอ็ดก็กลับออกมาแบบที่คนดูงง ๆ ว่าเมื่อกี้คืออังกอร์แล้วใช่ไหม ?

เขากลับออกมาพร้อมเสื้อตัวใหม่ เป็นเสื้อทีมฟุตบอลทีมชาติไทยสีแดง พอออกมาก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา จัดเพลง Shape of You มาในทันที ซึ่งสุดยอดเพลงดังเพลงนี้ก็ทำให้คนดูเอ็นจอยสุด ๆ แล้วปิดท้ายโชว์จริง ๆ ด้วย You Need Me, I don’t Need You เพลงดนตรีสนุก ๆ จากอัลบั้มแรกที่เอ็ดโชว์แรปปิดท้ายคอนเสิร์ตได้อย่างเมามัน

โปรดักชั่นของคอนเสิร์ตนี้ ดูภายนอกคิดว่าเป็นโปรดักชั่นเดิมของ Divide ทัวร์ที่เห็นไปแล้ว แต่ที่แตกต่างจากเดิมคือรายละเอียดของวิชวลดีไซน์ ภาพประกอบต่าง ๆ ที่ครั้งดีไซน์ออกมาให้มีเรื่องราวมากขึ้น

คอนเสิร์ตนี้เป็นอีกครั้งที่เอ็ด ชีแรน แสดงให้เห็นว่าเขาคือศิลปินมากพรสวรรค์ที่หาจุดบอดยากจริง ๆ เนื้อเสียงที่น่าฟังของเขา บวกกับความสามารถการแต่งเพลงเพราะ ๆ เป็นต้นทุนชั้นดีที่ไม่ว่าเขาจะเลือกเพลงไหนมาเล่นสดก็ดีไปซะหมด ไม่ว่าเขาจะเล่นจะบิดไปทางไหน จะอิมโพรไวซ์อะไรก็ออกมาน่าฟัง

แม้ศิลปินจะมีความสามารถทางดนตรีและการแสดงสดแค่ไหน แต่คอนเสิร์ตระดับสเตเดี้ยมก็เป็นโจทย์ยากเสมอ เพราะการสื่อสารระหว่างศิลปินกับคนดูอาจจะไม่ถึงกัน รวมถึงระดับความประทับใจของคนดูก็ขึ้นอยู่กับบรรยากาศรอบข้างด้วย ถ้าใครได้อยู่ในโซนที่คนดูเอ็นจอยกันเต็มที่ก็มี่ส่วนบิ๊วความรู้สึกให้อิ่มเอมกันไป แต่ถ้าใครได้อยู่ในเวิ้งที่คนดูไม่ค่อยเต็มที่ไม่เอ็นจอยกับการแสดงสักเท่าไหร่ ก็ทำให้น่าเบื่อได้เหมือนกัน ซึ่งจากการสังเกต (เฉพาะในบริเวณข้างเคียง) พบว่า คนดูในโซน B ที่อยู่ข้างหลัง ร้องเพลงกันดังลั่นมากและเอ็นจอยกับโชว์มาก ขณะที่โซน A จะนิ่ง ๆ กว่า ถึงขนาดมีคนนั่งเล่นเกมในคอนเสิร์ต จากภาพที่เห็นก็อาจเป็นได้ว่า สิ่งที่คนดูโซนหลัง ๆ สื่อสารออกไปนั้นไปไม่ถึงศิลปินที่อยู่บนเวที เอ็ดจึงต้องคอยพูดกระตุ้นคนดูอยู่บ่อย ๆ

โดยสรุปแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่ดีคุ้มค่าที่จะฝ่าการเดินทางอันยากลำบากไปดูถึงราชสมังคลากีฬาสถาน –  สถานที่ซึ่งไม่ได้การันตีความประทับใจ ถ้าศิลปินไม่เจ๋งพอ