John Wick 3 บู๊สนั่น มันเลือดสาด แค่แอ็กชั่นอย่างเดียวก็เต็มอิ่ม

หลังจากภาคที่ 2 เมื่อปี 2017 จบลงตรงที่จอห์น วิค กำลังหนีการไล่ล่าจากนักฆ่าทั้งเมือง เนื่องจากเขาถูกสภาสูงตัดหางปล่อยวัดและตั้งค่าหัวมากเป็นประวัติการณ์ถึง 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะเขาดันไปละเมิดกฎของสภาสูงที่ห้ามฆ่าในพื้นที่โรงแรมคอนติเนนตัล ตอนนี้ John Wick Chapter 3 : Parabellum กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ สานต่อความมันเลือดสาด พร้อมกับส่ง Avengers : End Game ให้หลุดออกไปจากกระแสเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

John Wick Chapter 3 : Parabellum โดยการกำกับของแชด สตาเฮลสกี้ ผู้กำกับคนเดิม กลับมาพร้อมนักแสดงนำครบทีม คีอานู รีฟส์ ยังคงรับบท จอห์น วิค (ซึ่งบทนี้คงเป็นคนอื่นไม่ได้แล้ว), ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น รับบท โบเวอรี คิง, เอียน แม็คเชน รับบท วินสตัน ผู้จัดการคอนติเนนตัล, แลนซ์ เรดดิค ในบท ชารอน ผู้ดูแลโรงแรม และเสริมด้วยนักแสดงกับบทที่เพิ่งปรากฏในภาคนี้ ฮัลลี เบอร์รี ในบท โซเฟีย, เอเชีย เคท ดิลลอน ในบท ดิ แอดจูดิเคเตอร์ หรือตุลาการแห่งสภาสูง

ภาคนี้เปิดเรื่องขึ้นมาแบบที่เอาไปวางต่อกับฉากจบของภาค 2 เป็นเนื้อเดียวกันได้เลย การดำเนินเรื่องต่อจากภาค 2 อย่างตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน จริง ๆ ต้องพูดว่าเรื่องราวไม่มีอะไรเลยนอกจากการไล่ล่า แล้วผู้ถูกล่าก็จัดการฆ่าผู้ล่าไปอย่างราบคาบ

จอห์นหนีไปขอความช่วยเหลือ ณ ที่ที่เขาคิดว่ามีโอกาสจะได้รับความช่วยเหลือ โดยมีเป้าหมายคือการได้คุยกับผู้อาวุโสในสภาสูง เพื่อให้ตัดสินว่าเขาจะมีชีวิตต่อหรือไม่ และก็เป็นอย่างที่จอห์นคิด เมื่อเจอผู้อาวุโส เขาได้โอกาสมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ต้องแลกกับการทำงานที่เขาไม่อยากทำ

หนังยังคงรักษาจุดขาย คือ สร้างความสนุกตื่นตาด้วยฉากการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน ทำลายทุกสิ่งให้กระจุยกระจายตั้งแต่ต้นจนจบ เราได้เห็นนักฆ่างัดสารพัดทักษะออกมาสู้กัน ได้เห็นจอห์นใช้ทุกสิ่งรอบกายเป็นอาวุธ และเล่นกับสถานที่ที่แตกต่างหลากหลาย รวมถึงต่อสู้บนพาหนะสารพัดอย่าง

ถึงแม้จะบอกว่าเรื่องราวไม่มีอะไรมากกว่าการฆ่ากัน แต่ถ้าเทียบกับ 2 ภาคที่ผ่านมาก็พูดได้เต็มปากว่า ภาคนี้มีเรื่องราวมากกว่าใน 2 ภาคแรก มีความเกี่ยวโยงกับผู้คนมากขึ้น เป็นการขยายขอบเขต ขยายจักรวาลของหนังออกไป เพื่อให้สร้างภาคต่อไปได้เรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าเป้าหมายการต่อสู้ของจอห์น วิค ที่อยากออกจากวงการไปใช้ชีวิตอย่างสงบนั้นดูจะไกลออกไปทุกที

สิ่งสำคัญที่เพิ่มมาในภาคนี้ คือ พาร์ตความรู้สึก ความคิด จิตใจ ของจอห์นที่ใส่เข้ามาให้ผู้ชมได้ร่วมสำรวจ ร่วมหาเหตุผลการตัดสินใจของเขา อย่างเช่นเหตุผลที่เขาอยากมีชีวิตอยู่ เหตุผลที่เขาเดินทางไปที่ไหน เพราะอะไร และเมื่อจอห์นต้องตัดสินใจว่าเขาจะฆ่าคนที่เคยช่วยชีวิตเขาตามคำสั่งของสภาสูงหรือไม่ ซึ่งโจทย์นี้กับการตัดสินใจของจอห์น พลิกไปสู่โจทย์ใหม่เพิ่มให้เรื่องยุ่งเหยิงขึ้นอีกนิด เป็นการปูเรื่องไว้สำหรับภาคที่ 4 ที่จะสานต่อความเดือดกันต่อไป

นอกจากนั้น ภาคนี้ได้เผยแบ็กกราวนด์ของตัวละครจอห์น วิค ซึ่งเชื่อว่าคนดูร้อยทั้งร้อยต้องมีคำถามในหัวว่า จอห์น วิค เป็นใคร มาจากไหนวะ เขาฝึกมาต่างจากนักฆ่าคนอื่นในวงการอย่างไร ทำไมถึงเก่งและแข็งแกร่งเกินมนุษย์ขนาดนี้ ซึ่งหนังก็ให้เรารู้ที่มาของจอห์น วิค ผ่านเส้นทางการหนีของเขา แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ตอบคำถามทั้งหมด

…และถึงแม้จะบอกว่าเรื่องราวมันไม่มีอะไรมานอกจากฆ่ากัน แต่ก็นั่นแหละ หนังแอ็กชั่นที่ดูเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรให้คิดตามเยอะ แต่เต็มไปด้วยฉากการต่อสู้ระดับพรีเมี่ยมที่ทำเอาหัวใจเต้นรัวตั้งแต่ต้นจนจบ แบบไม่มีเบื่อ ไม่อยากละสายตา คือ จุดขายของแบรนด์จอห์น วิค ที่ครองใจ


คนดูมาอย่างไม่มีตก แล้วเมื่อบวกกับเรื่องราว ปมใหม่ ๆ ที่เสริมเข้าไป ให้ดูมีอะไรมากกว่าการดูคนฆ่ากัน มันจึงเป็นเหตุผลให้ผู้เขียนชอบภาคนี้ที่สุด