โลกใหม่สวยงามของ Aladdin กับบทและการแสดงที่สนุกเกินคาด

จากการ์ตูนแอนิเมชั่นยอดนิยมตลอดกาลสู่หนังที่มีคนแสดงจริงกับ Aladdin หนึ่งในภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่องเยี่ยมที่เหล่าสาวกเจ้าหญิงวอลต์ ดิสนีย์รอคอยกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าตอนปล่อยทีเซอร์ออกมาจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบไปบ้าง ทำเอาแฟน ๆ หลายคนกังวลว่าตัวละคร หรือเนื้อหาในแอนิเมชั่นอาจจะถูกปรับเปลี่ยนเยอะเกินไปหรือไม่ แต่หลังจาก Aladdin เข้าโรงฉายอย่างเป็นทางการแล้วกลับได้รับคำชมจากบรรดาคอหนังและแฟน ๆ แบบท่วมท้นกันเลยทีเดียว

ครั้งนี้ Aladdin ได้นักแสดงหนุ่ม มีนา มาซูด มารับบทอะลาดิน ชายหนุ่มกำพร้าสุดยากจนที่อาศัยอยู่กับเจ้าลิงอาบู หาเลี้ยงชีพด้วยการลักเล็กขโมยน้อยไปวัน ๆ วันหนึ่งโชคชะตาก็พาให้เขาได้มาพบกับเจ้าหญิงจัสมิน (นาโอมิ สก็อตต์) แห่งเมืองอักราบาห์ การเจอกับเจ้าหญิงครั้งนี้ได้พาให้เขาต้องเผชิญกับการต่อสู้ครั้งสำคัญกับจาร์ฟาร์ (มาร์วาน เคนซารี) เสนาบดีสุดละโมบที่หวังจะครองตำแหน่งสุลต่านด้วยการขอพรจากตะเกียงวิเศษ

แต่เรื่องก็กลับตาลปัตรเมื่ออะลาดินเผลอไปถูตะเกียงจนได้พบกับยักษ์จีนี่ (วิลล์ สมิธ) ที่เขาสามารถขอพรกับจีนี่ได้สูงสุดสามข้อ อะลาดินตัดสินใจขอให้จีนี่แปลงโฉมให้กลายเป็นเจ้าชายที่มีฐานะเพรียบพร้อมพอกับเจ้าหญิง จนทำให้อะลาดินได้เข้าไปในวังและพบกับอันตรายจากจาร์ฟาร์ เขาจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสุลต่านและเจ้าหญิงจัสมินให้ได้

สิ่งที่น่าจะเซอร์ไพรส์ที่สุดของโปรเจ็กต์อะลาดินครั้งนี้ น่าจะเป็นรายชื่อผู้กำกับอย่างกาย ริตชี่ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมาสายแอนิเมชั่นวอลต์ ดิสนีย์ได้เลย จากผลงานการกำกับก่อนหน้าด้วยแนวแอ็กชั่น-คอมเมดี้เกือบทั้งหมดทุกเรื่อง ซึ่งน่าจะเป็นอีกสิ่งที่สร้างความกังวลให้กับแฟน ๆ ว่าทิศทางของอะลาดินเวอร์ชั่นนี้จะออกมาในรูปแบบไหน แต่ริตชี่ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังแม้แต่น้อย เนื้อหาแกนหลักยังคงแคแร็กเตอร์ไว้เหมือนแอนิเมชั่น มีเพียงการปรับบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้เขียนเองก็มองว่า การปรับเสริมครั้งนี้ช่วยทำให้บทภาพยนตร์กลมกล่อมมากขึ้น อย่างบทพูดสอดแทรกเสียดสีการเมืองในระบบปิตาธิปไตย

การใส่ความเป็นผู้นำที่กล้าหาญเข้มแข็งของเจ้าหญิงจัสมินให้เข้มข้นกว่าในเวอร์ชั่นการ์ตูน ซึ่งตรงนี้นาโอมิก็แสดงได้ชนิดที่ทำให้เราเชื่อว่า เจ้าหญิงจัสมินสามารถขึ้นมาทำหน้าที่สุลต่านได้โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องเพศมาเป็นกำแพง

ส่วนผสมที่ขาดไม่ได้และแทบจะเป็นหัวใจสำคัญของจักรวาลวอลต์ ดิสนีย์ ก็คือฉากมิวสิคัล ริตชี่ดึง อลัน เมนเคน นักแต่งเพลงประจำวอลต์ ดิสนีย์ที่เคยสร้างผลงานการออกแบบเพลงอะลาดินในเวอร์ชั่นการ์ตูนมาร่วมดีไซน์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งก็ทำให้มิวสิคัลทุกฉากทำออกมาได้น่าประทับใจและร่วมสมัยมาก ๆ ทั้งการหยิบจับผสมผสานศิลปะการเต้นแบบบีบอย เบรกแดนซ์ ระบำหน้าท้อง มาไว้ในฉากเดียวกัน ต้องชื่นชมลีลาการเต้นของนาโอมิ และมีนาด้วยที่เข้าขากันดีสุด ๆ

อีกคนที่เรียกว่าเป็นตัวชูโรงความสนุกความฮาเลยอย่าง ยักษ์จีนี่ ซึ่งวิลล์ สมิธเล่นออกมาได้ตลกกวนโอ๊ยมาก ๆ แทบทุกฉากที่มีบทพูดของจีนี่ทำเอาคนทั้งโรงขำก๊ากกันไม่หยุด หรือบางฉากที่ไม่ได้พูดสักประโยคแต่สายตาและลูกเล่นของสมิธก็ทำเอาคนดูยิ้มตามกันได้ตลอดทั้งเรื่อง ความตลกและมุขอันแพรวพราวของจีนี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้อะลาดินเวอร์ชั่นภาพยนตร์สนุกครบรสเลย

สาวกดิสนีย์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หรือใครที่ไม่ใช่แฟน ๆ ก็สามารถดูได้เช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า เวอร์ชั่นนี้ได้สอดแทรกบทที่ให้ข้อคิดกับคนดูไปพร้อมกับความสนุกด้วยนั่นเอง