เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา มีภาพยนตร์น่าสนใจเรื่องหนึ่งจากประเทศจีนเข้าฉายในบ้านเรา แต่ด้วยจำนวนผู้ชมและรายได้ที่ต่ำมากจึงไม่แน่ใจว่าจะยืนโรงฉายได้อีกสักสัปดาห์หรือไม่
หนังเรื่องที่พูดถึงคือ Proud of Me ชื่อไทยว่า “ดีที่สุดแล้วลูก” เป็นหนังม้ามืดที่ทำเงินในประเทศจีนได้มากถึง 47 ล้านหยวน (ประมาณ 210 ล้านบาท) จากเงินลงทุนทั้งหมดเพียงแค่ 5 ล้านหยวน (22 ล้านบาท)
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
Proud of Me เป็นหนังทุนต่ำไม่มีดาราดัง ไม่โดดเด่นเรื่องเทคนิคการสร้างใด ๆ แต่ความน่าสนใจของหนังอยู่ที่เนื้อหาที่เล่าเรื่องของคนต่างจังหวัดทำให้หนังได้รับความนิยมในต่างจังหวัด อาจจะคล้ายปรากฏการณ์หนัง “ผู้บ่าวไทยบ้าน” ที่เมืองไทยของเรา
หนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในซัวเถา (แต่ข้อมูลบอกว่าถ่ายทำที่เฉาหยาง) ขณะเดียวกันก็ฉายภาพสังคมชนบทในจีนให้ผู้ชมได้ดูและซึมซับจนรู้สึกผูกพัน
สองพ่อลูกมีปัญหาช่องว่างระหว่างวัย บวกกับลูกชาย (ชื่อ 369) เป็นคนเกเรไม่เรียนหนังสือ มีเรื่องให้พ่อต้องเป็นห่วงและตามแก้ปัญหาอยู่ตลอด พอโดนไล่ออกจากโรงเรียน ลูกชายบอกพ่อว่าอยากขายของออนไลน์ผ่านเว็บเถาเป่า (ของอาลีบาบา) ขอให้พ่อซื้อคอมพิวเตอร์ให้ แต่พ่อไม่ยอมซื้อให้ ไม่ใช่ว่ายากจนไม่มีเงิน แต่พ่อซึ่งเป็นคนรุ่นเก่าไม่เข้าใจว่าการขายของออนไลน์จะเป็นอาชีพได้จริง
เป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงของยุคสมัยนี้ว่า เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงคนหมู่มากและเกิดอีคอมเมิร์ซขึ้นมา เด็กยุคใหม่จึงไม่ได้มีเป้าหมายอาชีพดั้งเดิมแบบคนยุคเก่าอีกแล้ว
เมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ 369 จึงขายของไม่ได้ เขาทำงานตามที่พ่อฝากให้ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็โดนไล่ออก เพราะไม่เคยทำงานใช้แรงงาน เขาลอยไปลอยมาอยู่ 7-8 ปี จึงตัดสินใจไปแสวงโชคในเสิ่นเจิ้น
เมืองใหญ่ที่เศรษฐกิจพัฒนารุดหน้าบ้านเกิดของเขาไปไกลหลายเท่าตัว เป็นเมืองแห่งโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัวของคนมากมาย แล้วเขาก็ได้เป็นเน็ตไอดอลมีแฟนคลับเป็นล้าน ๆ คน มีลู่ทางทำเงินจากอาชีพยุคใหม่ที่ในตอนแรกพ่อไม่เข้าใจ
นอกจากเนื้อหาที่น่าสนใจของหนังแล้ว สิ่งที่ทำให้ยิ้มระหว่างดูหนังเรื่องนี้คือการได้เห็นคนรุ่นพ่อแม่จูงมือคนรุ่นปู่ย่าตายายเข้าไปดู เท่าที่สังเกตหน้าตาผิวพรรณ และการพูดจา เข้าใจว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นคงเป็นคนจีนที่จากบ้านเกิดมาแสวงโชคในเมืองไทย จึงอยากรำลึกความหลัง และอยากเห็นว่าบ้านเกิดของตนเองมีสภาพเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้