Spider-Man : Far From Home การเติบโตขึ้นอีกเลเวลของไอ้แมงมุม

หลังจากสร้างปรากฏการณ์กวาดรายได้ไปแล้วทั่วโลกกับ Avengers : Endgame ครั้งนี้หนึ่งในทีมอเวนเจอร์สกลับมาทำหน้าที่ปิดเฟสสามให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ในหนังภาคต่อแห่งจักรวาลมาร์เวลอย่าง Spider-Man : Far From Home ที่ในครั้งนี้เราจะได้เห็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (ทอม ฮอลแลนด์) และผองเพื่อนออกโลดแล่นผจญภัยนอกเมืองควีนส์เป็นครั้งแรก

ในภาคนี้มู้ดแอนด์โทนค่อนข้างแตกต่างจาก Spider-Man : Homecoming อย่างเห็นได้ชัด อะไรที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็น แฟน ๆ จะได้ชมกันในภาคนี้แน่นอน รวมถึงพาร์ตที่สำคัญที่สุด คือการเติบโต เรียนรู้ และก้าวข้ามอีกสเต็ปหนึ่งทางความคิดของตัวปีเตอร์เอง นี่ไม่ใช่แค่หนังซูเปอร์ฮีโร่บ้าพลังเท่านั้น แต่ Far From Home ยังแฝงไว้ด้วยพลอตแบบ coming of age ที่ทำให้เราเข้าใจวิวัฒนาการของตัวละครในเรื่องมากขึ้นด้วย

Spider-Man : Far From Home ยังคงได้จอน วัตต์ส มารับหน้าที่กำกับและเขียนบทเหมือนเดิม ความตลกสนุกสนานจาก Homecoming ที่ว่าดีงามแล้ว ภาคนี้ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ด้วยก๊วนเพื่อนสไปเดอร์แมนทั้งเนด ลีดส์ (จาคอบ บาตาลอน), แฟลช (โทนี่ เรฟโวโลรี), เบตตี้ แบรนต์ (แองกอรี่ ไรซ์) รวมถึงตัวละครอื่น ๆ ในทริปทัศนศึกษา ทั้งหมดเล่นรับ-ส่งคอเมดี้กันได้กลมกล่อมมาก ๆ เรียกว่าออกมาแต่ละฉากก็ทำเอาคนดูขำก๊ากไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะบทของเนดที่มาคราวนี้ปล่อยมากี่มุข ๆ ก็ดูจะถูกที่ถูกเวลาไปหมด ด้วยมุขตลกหน้าตายและซีนอินเลิฟที่ดูน่ารักน่าหยิกซะเหลือเกิน

ส่วนสำคัญในเรื่องนอกจากความสนุกแล้ว เส้นเรื่องในภาคนี้ค่อนข้างแข็งแรงและโตกว่าภาคก่อนเยอะมาก รวมถึงยังมีการหยิบคำถามที่ยังไร้คำตอบจากภาคก่อนหน้าอย่าง Endgame มาต่อยอดด้วยว่า โลกที่ไม่มีผู้นำอย่างไอรอนแมนและกัปตันอเมริกาจะเป็นอย่างไรต่อไป ความหวังของมวลมนุษยชาติจะสามารถฝากไว้ที่สไปเดอร์แมนแทนได้หรือไม่

ความกดดันและภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้จึงกลายเป็นปมปัญหาสำคัญของปีเตอร์ที่ในแง่หนึ่งเขาเองก็เป็นเพียงนักเรียนไฮสคูลอายุ 16 ที่อยากมีชีวิตธรรมดา ๆ กับเพื่อนซี้และสาวที่ตัวเองแอบชอบไปวัน ๆ บ้าง แต่ปีเตอร์เองก็รู้ดีว่า เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมอเวนเจอร์สไปแล้ว

ในช่วงแรก ๆ ของหนังอาจจะดูน่าหงุดหงิดสำหรับหลาย ๆ คนกับความเด็ก ความง้องแง้งของปีเตอร์ แต่นี่คือจุดที่เรียลที่สุดที่หนังพยายามดึงคนดูให้เข้าใจถึงความคิดและจุดที่ปีเตอร์กำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ ต้องบอกว่า น้องทอมของเราก็แสดงได้ดีเช่นเคย ซีนอารมณ์ที่มีมากกว่าภาคก่อน น้องเอาอยู่แทบทั้งหมด

สไปเดอร์แมนในภาคนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงหนังฮีโร่ บู๊แอ็กชั่นล้างผลาญเอามันเพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงไว้ด้วยพาร์ตของการเติบโต-ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของวัยรุ่นยุคมิลเลนเนียลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

นอกจากทอม ฮอลแลนด์ และแก๊งเพื่อนแล้ว ตัวละครที่เพิ่งโดดเข้ามาใหม่อย่างมิสเตริโอ (เจก จิลเลนฮาล) ก็เล่นได้สมกับเป็นนักแสดงเบอร์ใหญ่ของฮอลลีวูด ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็กชั่นและการปะทะคารมกับปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ทั้งคู่รับ-ส่งกันได้ดีตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง ยิ่งช่วงกลางจนถึงฉากจบบอกเลยว่า ลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ได้สักวินาทีเดียว เพราะทั้งนักแสดง ซีจี และสกอร์ในเรื่องนี้จัดเต็มมาก ๆ เป็นอีกมู้ดของสไปเดอร์แมนที่พอดูจบแล้วทำเอาแฟนมาร์เวลแทบจะรอเฟส 4 กันไม่ไหวเลยล่ะ

เป็นอีกครั้งที่มาร์เวล สตูดิโอไม่ทำให้คอหนังผิดหวัง ทั้งรักกุ๊กกิ๊กวัยใส แอ็กชั่นบ้าระห่ำ หรือซีนดราม่า ทั้งหมดอัดแน่นมาไว้ให้ครบแล้วในเรื่องเดียว เป็นอีกก้าวสำคัญของสไปเดอร์แมนที่น่าจะสร้างความผูกพันกับคนดูได้ดีไม่น้อยไปกว่าที่ไอรอนแมนและกัปตันอเมริกาได้ฝากความประทับใจไว้แล้วแน่นอน