THE IRISHMAN สมฐานะผู้กำกับ นักแสดง และการเข้าชิงออสการ์

REUTERS/Henry Nicholls/File Photo

Never Written : เรื่อง

ภาพยนตร์เรื่อง “The Irishman” ผลงานชิ้นล่าสุดของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) เพิ่งผ่านการเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำถึง 5 สาขาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และกำลังจะเข้าชิงรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการภาพยนตร์อย่าง “ออสการ์” ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563 นี้ โดยเข้าชิงมากถึง 10 สาขา ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Netflix มีผลงานภาพรวมในการเข้าชิงออสการ์มากกว่าสตูดิโอใดในปีนี้

นอกเหนือไปจากชื่อของผู้กำกับที่ทำให้คอหนังต้องหันขวับมามองหนังเรื่องนี้แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าดึงดูดไม่แพ้กัน คือ รายชื่อของนักแสดงนำทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย โรเบิร์ต เดอ นิโร (Robert De Niro), โจ เพสซี (Joe Pesci) และอัล ปาซิโน (Al Pacino) ซึ่งหากลองนับดูเล่น ๆ แล้ว ทั้ง 3 เคยเข้าชิงออสการ์รวม ๆ กันทั้งสิ้น 20 รางวัล ซึ่งทั้งเดอ นิโร และเพสซี เคยร่วมงานกับผู้กำกับสกอร์เซซีมาแล้วในหนังระดับขึ้นหิ้งอย่าง “The Goodfellas” ในปี 1990

แน่นอนว่าในส่วนของการแสดงทั้ง 3 “เอาอยู่” ทั้งชั้นเชิง แววตา อารมณ์ ความรู้สึก ยิ่งไปกว่านั้น นักแสดงแต่ละคนยังจะต้องรับบทบาทในแต่ละช่วงวัย เพราะภาพยนตร์ฉายภาพเรื่องราวที่กินเวลาร่วมครึ่งศตวรรษ ซึ่งแต่ละคนก็ทำออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ หลักฐานคือทั้งเพสซีและอัล ปาซิโน เข้าชิงทั้งลูกโลกทองคำและออสการ์ในฐานะนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ซึ่งไม่บ่อยนักที่นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องเดียวกันจะเข้าชิงรางวัลในสาขาเดียวกัน มีส่วนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาทรงพลังและน่าติดตามไปตลอด 3 ชั่วโมงกว่า

อีกปัจจัยที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าชื่อของผู้กำกับหรือนักแสดงนำ แต่มีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ “บท” ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มือเขียนบทฝีมือดีอย่าง สตีเวน ไซเลียน (Steven Zaillian) ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง “Schindler’s List” ในปี 1994 ซึ่งในปีนี้ไซเลียนก็กำลังจะเข้าชิงออสการ์อีกครั้งในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีชื่อ “I Heard You Paint Houses” ของนักเขียนชาวอเมริกัน ชาร์ลส์ แบรนด์ท (Charles Brandt) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าและคำสารภาพของ แฟรงก์ ชีแรน (Frank Sheeran) หัวหน้าแก๊งมาเฟียอิตาเลียนชาวไอริชในวัย 83 ปี ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปอย่างลึกลับของ จิมมี่ ฮอฟฟา (Jimmy Hoffa) และยังคาบเกี่ยวกับการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) อีกด้วย

The Irishman เล่าเรื่องราวความเป็นไปของประวัติศาสตร์อเมริกาในช่วงยุคสมัยหนึ่ง ผ่านการเติบโตบนเส้นทางสายมาเฟียของแฟรงก์ ชีแรน (โรเบิร์ต เดอ นิโร) ตั้งแต่การเป็นคนขับรถส่งเนื้อสเต๊ก การเข้ามาเป็นมือปืนให้กับรัสเซลล์ บัฟอาลิโน (โจ เพสซี) ผู้นำมาเฟีย การเป็นมือขวาของจิมมี่ ฮอฟฟา (อัล ปาซิโน) ผู้นำสหภาพแรงงานที่มีอิทธิพลเป็นรองเพียงประธานาธิบดี ไปจนถึงการเป็น 1 ใน 3 ผู้นำสูงสุดขององค์กรมาเฟีย ซึ่งต้องยอมรับว่าแม้เราจะไม่เคยทราบเรื่องราวการหายตัวไปอย่างลึกลับของฮอฟฟา หรือเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอเมริกาในสมัยนั้นอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวความเป็นไปของตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างไหลลื่น

Photo by Kevin Winter/Getty Images

ประเด็นสุดท้ายที่ทำให้เรารู้สึกสะดุดตามาก ๆ ในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ การใช้เทคโนโลยีลดอายุ (De-Aging) ในการฉายภาพของตัวละครตั้งแต่ในวัย 30 กว่า ๆ ไปจนถึง 80 ต้น ๆ ที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นการใช้นักแสดงวัยหนุ่มที่หน้าตาคล้ายกันมาแสดง แต่สำหรับ The Irishman สกอร์เซซี เลือกที่จะใช้นักแสดงคนเดียวกันในทุกช่วงอายุ อีกทั้งปฏิเสธการใช้โมชั่นแคปเจอร์ ทำให้ภาระต้องตกไปอยู่กับกองถ่ายและทีมงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ในการลดหรือเพิ่มอายุขัยของนักแสดงให้ออกมาสมจริงตามแต่ละช่วงเหตุกาณ์ที่สุด ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็ทำออกมาได้อย่างแทบจะสมบูรณ์แบบ สมทุนสร้างราว 159 ล้านเหรียญ

โดยภาพรวมภาพยนตร์เรื่อง The Irishman ทำออกมาได้ “สมฐานะ” ไล่เรียงมาตั้งแต่ชื่อของผู้กำกับ นักแสดง ตัวบท และทีมงาน (โดยเฉพาะทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ต้องจัดการกับการลด-เพิ่มอายุของนักแสดง) ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เราไม่แปลกใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 10 สาขา ต้องลุ้นกันว่าภาพยนตร์เรื่องแรกของสกอร์เซซีร่วมกับ Netflix เรื่องนี้จะคว้ารางวัลสาขาใดมาครองได้บ้าง