Crash Landing on You ความอยากรวมชาติเกาหลีที่คลออยู่หลังเรื่องรักโรแมนติก

Rungnapa : เรื่อง

อาจจะช้าที่เขียนถึงซีรีส์เกาหลี Crash Landing on You ในตอนนี้ เพราะซีรีส์ออกอากาศตอนจบไปแล้ว แต่ก็มั่นใจว่ายังไม่ช้าเกินไป เพราะกระแสที่แรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ยังไม่สร่างซาลงเลยในตอนนี้ สาวน้อยสาวใหญ่ต่างบอกว่า “ยังมูฟออนจากสหายผู้กองไม่ได้เลย” ฝั่งหนุ่ม ๆ ก็ยังคงไม่มูฟออนจากสหายเซรีและสหายซอดันเช่นกัน การจัดอันดับใน Netflix ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังคงอยู่อันดับ 1 ของคอนเทนต์ยอดนิยมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ยืนยันถึงกระแสความนิยมได้เป็นอย่างดี

ก่อนจะพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้ ขอสรุปข้อมูลที่ควรรู้สั้น ๆ ว่า “Crash Landing on You” ชื่อไทยว่า “ปักหมุดรักฉุกเฉิน” เป็นซีรีส์เกาหลีใต้ที่เกิดจากความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ tvN ของเกาหลีใต้ และ Netflix เนื้อเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวมหาเศรษฐีสาวชาวเกาหลีใต้ที่เล่นร่มร่อนแล้วเกิดอุบัติเหตุเจอพายุพัดให้เธอไปตกลงในฝั่งเกาหลีเหนือ เรื่องวุ่น ๆ จึงเกิดขึ้น และนำไปสู่ความรักของสาวใต้กับผู้กองหนุ่มหล่อชาวเหนือ พร้อมกับมิตรภาพระหว่างสาวคนนี้กับบรรดาทหารลูกน้องผู้กองด้วย

สหายผู้กองที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรก คือ พระเอกของเรื่องชื่อ รีจองฮยอก รับบทโดย ฮยอน บิน (Hyun Bin) สหายเซรี คือ นางเอก รับบทโดย ซน เย จิน (Son Ye-jin) และ สหายซอดัน รับบทโดย ซอ จี ฮเย (Seo Ji-hye) คือ สาวสวยลูกมหาเศรษฐีชาวเกาหลีเหนือที่เป็นคู่หมั้นของพระเอก

Crash Landing on You มีความน่าสนใจที่น่าพูดถึงหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือด้านความนิยม-ความสำเร็จ เป็นซีรีส์ที่ทำเรตติ้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของช่อง tvN และสูงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ซีรีส์เกาหลีใต้ทั้งหมด

ซีรีส์เรื่องนี้ฉายภาพชีวิตความเป็นอยู่ สังคมเกาหลีเหนือ ทั้งระดับชาวบ้านทั่วไปในหมู่บ้านทหาร และสังคมระดับสูง อย่างครอบครัวของพระเอกและครอบครัวของคู่หมั้นพระเอก ซึ่งการที่ทีมงานได้คว้าตัวอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์มาอยู่ในทีมเขียนบท ช่วยให้ซีรีส์เรื่องนี้สมจริงมากขึ้น ทั้งการสร้างฉาก สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต ไปจนถึงข้อมูลลึก ๆ อย่างเช่น วิธีการการทุจริต วิธีการที่ทหารเกาหลีเหนือยศสูง ๆ ใช้ตำแหน่งของตัวเองหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ซึ่งถ้ามีเพียงคนเกาหลีใต้เขียนบทกันเองอาจจะไม่ทราบข้อมูลเหล่านั้น หรือรายละเอียดไม่สมจริงมากเท่าที่เห็น

ความน่าสนใจมากที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้ ในมุมมองของผู้เขียน ก็คือเนื้อหาที่สื่อสารเรื่องการพลัดพรากและการรวมชาติของเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ โดยเล่าผ่านความรักและมิตรภาพของนางเอกกับแก๊งทหารเกาหลีเหนือ ซึ่งใจความสำคัญที่อยู่ข้างหลังความโรแมนติกระหว่างนางเอกกับพระเอกและสหายนายทหาร นั่นคือ ความรู้สึกอยากรวมชาติของตัวละครชาวเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือในเรื่อง

ในความเป็นจริงเราไม่ทราบว่าชาวเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือเขาอยากรวมชาติกันมากน้อยแค่ไหน เคยมีข้อมูลการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซลที่เปิดเผยเมื่อปี 2014 ว่าร้อยละ 44.3 ของกลุ่มตัวอย่างชาวเกาหลีใต้ไม่อยากรับภาระทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการรวมชาติ ถึงแม้ว่าเป็นจำนวนน้อยกว่าครึ่ง แต่ตัวเลข 44.3 ก็เป็นสัดส่วนที่มากและน่าจะมีนัยสำคัญต่อการรวมชาติแน่ ๆ

อย่างไรก็ตาม ซีรีส์เรื่องนี้พูดในฐานะตัวแทนของคนที่อยากให้มีการรวมชาติอย่างชัดเจน โดยแสดงออกผ่านไดอะล็อกและความคิดของตัวละคร โดยเฉพาะนางเอกชาวเกาหลีใต้ ที่พูดว่า “ถ้ามีการรวมชาติ…” หรือ “ถ้ารวมชาติกันเมื่อไหร่…” ในหลายเหตุการณ์หลายบริบท ถ้านับดูดี ๆ คือมีอยู่ในแทบทุกตอนของซีรีส์

ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่ 1 เพียงแป๊บเดียวหลังจากที่พระเอกกับนางเอกเจอกัน นางเอกก็พูดว่า “หน้าตาคุณตรงสเป็กฉันเลย ถ้าคิดเหมือนกัน เจอกันใหม่ตอนประเทศรวมกันแล้วก็คงดีนะคะ”

ในตอน 3 วันที่พระเอกจะส่งนางเอกกลับครั้งแรก สาวเกาหลีใต้จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรให้แก่แก๊งทหาร ซึ่งฉากนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของทหารเกาหลีเหนือที่มองความเป็นไปได้ของการรวมชาติได้เป็นอย่างดี

พลทหารคนแรกได้รับรางวัลความใจดี นางเอกบอกว่ารางวัลที่จะมอบให้มีสองแบบ คือ แบบที่ได้หลังรวมประเทศกับแบบที่สามารถรับได้เลยทันที รางวัลแบบที่ได้หลังรวมประเทศคือเงินหนึ่งร้อยล้านวอน (ประมาณ 2.6 ล้านบาท) ส่วนรางวัลที่รับได้เลยทันทีคือข้าวโพดหนึ่งมัด ซึ่งพลทหารคนซื่อคนนั้นคิดว่าการรวมชาติไม่มีทางเป็นไปได้ จึงเลือกข้าวโพดหนึ่งมัดที่จะได้กินทันทีในตอนนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคนที่มีความหวังว่า “วันนั้น” จะมาถึง ทหารคนถัดมาซึ่งชื่นชอบซีรีส์เกาหลีใต้ ได้รับข้อเสนอรางวัลที่รับได้เลยทันทีเป็นทีวีหนึ่งเครื่อง ซึ่งถือเป็นของหรูหรามากในเกาหลีเหนือ กับรางวัลที่จะได้รับหลังรวมชาติคือ ได้ทานข้าวกับนักแสดงชาวเกาหลีใต้ที่เขาชื่นชอบ พลทหารคนนี้เลือกรางวัลหลังการรวมชาติ พร้อมกำชับว่า “ต้องรักษาสัญญานะครับ”

เมสเสจที่ว่า ชาวเกาหลีอยากรวมชาติกัน ถูกขับเน้นด้วยความรักและมิตรภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าโดยทั่วไปแล้วรักและมิตรภาพต่างสัญชาติเป็นเรื่องปกติของโลกนี้ แต่มันกลับไม่ปกติเมื่อเกิดขึ้นกับคนที่อยู่คนละฝั่งของเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ซีรีส์ทำให้คนดูเห็นว่าความรักที่เป็นไปไม่ได้ช่างน่าเศร้าและน่าเห็นใจเหลือเกิน และนั่นแหละที่ขับเน้นว่า “ถ้ารวมชาติกันได้จะดีมากเลย” เพราะนอกจากคู่รักจะได้สมหวังกันแล้ว ครอบครัวที่พลัดพรากกันตั้งแต่ 70 ปีก่อนก็จะได้กลับมาพบเจอกัน ไปมาหาสู่กันได้

แม้ว่าซีรีส์จะพูดเรื่องความรักของพระเอกกับนางเอกและความพยายามส่งนางเอกกลับบ้านเป็นหลัก ไม่ได้พูดประเด็นการพลัดพรากของครอบครัวคนทั่วไปที่อยู่เหนือกับใต้เท่าไหร่นัก แต่เพียงฉากเดียวที่พูดเรื่องนี้ก็ทำได้เสียดแทงความรู้สึกดี นั่นก็คือฉากบนเรือที่พระเอกกำลังจะส่งนางเอกกลับเกาหลีใต้ สองคนแนะนำตัวบอกชื่อจริงกันครั้งแรก “ฉันชื่อยุนเซรีค่ะ” ฝ่ายหญิงเริ่มก่อน “รีจองฮยอกครับ” พระเอกตอบ “จริงสิ ตระกูลยุน เมืองแฮจูค่ะ เมืองแฮจูอยู่เกาหลีเหนือใช่ไหม” สาวชาวใต้ถาม “ส่วนผม ตระกูลรีจากชอนจูครับ” ผู้กองไฮโซแห่งเกาหลีเหนือตอบ (เมืองชอนจูอยู่ในเกาหลีใต้) แล้วทั้งสองคนก็ยิ้มเบา ๆ และหัวเราะขื่น ๆ

อีกครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนบทได้ขับเน้น “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน” ให้เด่นชัดขึ้น โดยการนำเอา “ศัตรูร่วม” เข้ามาช่วยสร้างสำนึกความเป็นหนึ่งเดียวกันของเกาหลีเหนือและใต้ ก็คือตอนที่แก๊งทหารเกาหลีเหนือเข้าไปร้านอาหารแล้วชาวเกาหลีใต้กำลังเชียร์ฟุตบอล มีคนหนึ่งในแก๊งพูดทำนองว่า รำคาญที่เชียร์ฟุตบอลกันเสียงดังหนวกหู แต่พออีกคนหนึ่งบอกว่า “เกาหลีเจอญี่ปุ่นครับ” เท่านั้นแหละ สีหน้า แววตา และอากัปกิริยาของทุกคนในกลุ่มก็เปลี่ยนไป แล้วพวกเขาก็ร่วมเชียร์ฟุตบอลฝั่งเกาหลีด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับทุกคนในร้าน

ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะแม้ว่าเกาหลีเหนือกับใต้จะทะเลาะกันอย่างไร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตก่อนจะมีคำว่า “เกาหลีเหนือ” และ “เกาหลีใต้” เกาหลีทั้งหมดทั้งมวลล้วนเคยถูกญี่ปุ่นปกครองและกดขี่อยู่เป็นเวลานานถึง 35 ปี และก่อนหน้านั้นก็โดนรุกรานมาตลอดทุกยุคสมัยอาณาจักรต่าง ๆ บนคาบสมุทรเกาหลี  

ดังนั้น ความรู้สึกที่อยากเอาชนะหรือล้างแค้นญี่ปุ่นจึงไม่ใช่แค่ความรู้สึกของชาวเกาหลีเหนือหรือชาวเกาหลีใต้ แต่เป็นความรู้สึกร่วมกันทั้งหมด ฉากกินข้าวในร้านอาหารนับว่าเป็นฉากธรรมดา แต่ผู้เขียนบทก็สร้าง “ความหมาย” ให้มันได้อย่างลงตัว ถูกที่ ถูกเวลา

ตั้งแต่ต้นจนจบ Crash Landing on You ทำหน้าที่ได้ดีมาก ทั้งหน้าที่การเป็นซีรีส์รักโรแมนติกที่ทำให้คนดูยิ้ม เอาใจช่วย และเคลิ้มตามความรักของพระเอกกับนางเอกที่แม้ว่าไม่ได้หวานเยิ้ม แต่อบอุ่นหัวใจมาก ๆ ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ส่งเมสเสจว่า การแบ่งเขตแดนซึ่งพรากคนรักและครอบครัวออกจากกัน เป็นสิ่งที่โหดร้าย ไม่มีใครปรารถนา และบอกซ้ำ ๆ ว่า “การรวมชาติ” ยังเป็นความหวังของคนทั้งสองฝั่ง แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากแค่ไหนก็ตาม