โรคไข้กาฬหลังแอ่น คืออะไร เช็กอาการ วิธีป้องกันการติดเชื้อ

ทำความรู้จัก โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคติดเชื้อที่แม้ระบาดในไทยเป็นจำนวนน้อย แต่เมื่อติดเชื้อ อาจเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้

จากกรณีรายงานข่าว พบผู้ป่วยมีอาการเข้าข่ายติดเชื้อโรคไข้กาฬหลังแอ่น ที่โรงเรียนปอเนาะ (สถานบำบัดยาเสพติด) แห่งหนึ่ง พื้นที่ ม.6 ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และมีการรายงานว่า ขณะนี้ (ณ วันที่ 25 พ.ย. 2565 เวลา 19.00 น.) พบผู้ติดเชื้อเข้าข่าย 6 ราย เสียชีวิตแล้ว 1 ราย มีอาการเสี่ยง 25 ราย และในจำนวนผู้มีอาการเสี่ยง พบการก่อเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น 8 ราย

แม้โรคไข้กาฬหลังแอ่นจะพบการระบาดในประเทศไทยไม่บ่อย แต่หากติดเชื้อแล้ว ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้เช่นกัน

โรคไข้กาฬหลังแอ่น คืออะไร

ผศ.นพ.ยงค์ รงค์รุ่งเรือง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยในงานเขียนว่า โรคไข้กาฬหลังแอ่น มีชื่อทางการแพทย์ว่า Meningococcemia (การติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นในเลือด) หรือ Meningococcal meningitis (เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitides ซึ่งเป็นเชื้อกรัมลบรูปทรงกลมจำพวกเดียวกับเชื้อหนองในแท้ หรือ Neisseria gonorrheae แต่ไม่ทำให้เกิดกามโรคและมีความรุนแรงในการก่อโรคมากกว่า มีอัตราการตายสูงกว่า

โรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นชื่อที่มาจากคำ 2 คำ คือ “โรคไข้กาฬ” มีเหตุจากความรุนแรงของโรค ซึ่งทำให้ผู้ป่วยถึงแก่กรรมได้ในเวลาอันสั้น และ “หลังแอ่น” เนื่องจากลักษณะของผู้ป่วยโรคนี้อาจมีการชักเกร็ง หลังแข็งแอ่น ไม่เกี่ยวข้องกับนกนางแอ่นแต่อย่างใด

โรคไข้กาฬหลังแอ่นมีรายงานการตรวจพบผู้ป่วยในประเทศไทยมานานหลายปีแล้ว มีผู้ป่วยจำนวนน้อยในแต่ละปี ไม่ค่อยเกิดการระบาดเหมือนโรคระบาด (epidemic) อื่น ๆ เช่น อหิวาตกโรค ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นกับประชาชนจำนวนมากนับร้อยหรือพันราย และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่

การระบาดของโรคไข้กาฬหลังแอ่น มักเป็นการระบาดในวงจำกัด (cluster of cases) กล่าวคือ เกิดการติดต่อกันในหมู่ประชาชนจำนวนหนึ่ง ในชุมชนเดียวกัน โดยจะเกิดกับผู้สัมผัสโรค เช่น อาศัยในหอพัก ในกองทหาร ในห้องเรียน ในบ้านเดียวกันกับผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม อาจพบผู้ป่วยโรคนี้เพียงรายเดียว ไม่มีประวัติการสัมผัสโรคได้เช่นกัน (sporadic) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอยู่ในวัยเด็ก หนุ่มสาวหรือผู้ใหญ่อายุน้อย โดยการเกิดโรคไม่สัมพันธ์กับฤดูกาลแต่อย่างใด

เชื้อโรคไข้กาฬหลังแอ่น สามารถพบอยู่ในลำคอของคนปกติส่วนน้อยได้ โดยไม่เกิดโรคขึ้น เรียกว่า การเป็นพาหะของเชื้อ เชื้อสามารถถ่ายทอดได้โดยทางเดินหายใจ ผ่านการไอ, จาม, เสมหะ น้ำมูก น้ำลายไปสู่ผู้ใกล้ชิด ผู้ที่มีปัจจัยภายในตนเองผิดปกติบางอย่าง เช่น ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคนี้ หรือ เชื้อสามารถเล็ดลอดเข้าสู่กระแสโลหิต หรือระบบประสาทส่วนกลางได้ จึงก่อให้เกิดโรคขึ้น

เมื่อพบผู้ป่วยโรคนี้จะต้องรายงานต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากจัดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง

อาการของโรคไข้กาฬหลังแอ่น

โรคไข้กาฬหลังแอ่น มีลักษณะที่สำคัญ 3 อย่าง คือ

  1. ไข้
  2. ผื่น
  3. เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ตามลำดับที่พบมากไปน้อย ผู้ป่วยอาจมีอาการครบทั้ง 3 อย่าง หรือ 2 จาก 3 อย่างนี้ ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันได้มาก อาจมีอาการค่อยเป็นค่อยไป จนถึงรุนแรงรวดเร็ว ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันสั้น

อาการที่พบบ่อย คือ ผู้ป่วยมักจะมีไข้มาก่อนประมาณ 2-3 วัน มีผื่นขึ้น ลักษณะเป็นจ้ำเลือดเหมือนฟกช้ำ ผื่นอาจมีรูปร่างคล้ายดาวกระจาย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ มักเป็นบริเวณลำตัวส่วนล่าง, ขา, เท้า และบริเวณที่มีแรงกดบ่อยๆ เช่น ขอบกางเกง, ขอบถุงเท้า อาจเป็นที่เยื่อบุตา, หรือ มือได้

หากมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะมีอาการได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง, อาเจียน, คอแข็ง อาจซึมลง ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือสับสนได้ ไม่ค่อยมีชักหรืออัมพาตบ่อยเท่าเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียอื่น อัตราการเสียชีวิตขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

ในรายที่รุนแรง เช่น ในกรณีการติดเชื้อในกระแสเลือด มีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ การไหลเวียนเลือดล้มเหลว ความดันเลือดต่ำ ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าเขียวหรือดำคล้ำ ไตวาย น้ำท่วมปอด ร่วมด้วย มักเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว อัตราตายสูงถึงร้อยละ 70-80 ของผู้ป่วยทั้งหมด

ส่วนในรายที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อในเลือด อัตราตายต่ำกว่ามาก ประมาณร้อยละ 2-10 ของผู้ป่วยทั้งหมด การรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีมีส่วนช่วยลดอัตราการตายลงได้ส่วนหนึ่ง

หากเด็กหรือหนุ่มสาว ผู้ใหญ่อายุน้อย ที่มีอาการของไข้เฉียบพลัน มีผื่นที่เป็นจ้ำเลือดคล้ายรูปดาวกระจาย หรือมีอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบข้างต้น จะต้องนึกถึงโรคไข้กาฬหลังแอ่นไว้ด้วยเสมอ ควรไปรับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ในโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากล่าช้าเกินไป ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้

แพทย์จะทำการสอบถามประวัติความเจ็บป่วย ตรวจร่างกายผู้ป่วย ควรแจ้งแก่แพทย์ด้วยว่า ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวใดหรือไม่ แพ้ยาใดหรือไม่ เนื่องจากแพทย์จะต้องพิจารณาให้ยาต้านจุลชีพโดยเร็ว แพทย์จะทำการเพาะเชื้อในเลือด ในบางรายอาจตรวจน้ำไขสันหลัง จากนั้นจะเริ่มให้ยาต้านจุลชีพชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ยาที่มักจะเลือกใช้ คือ ยา กลุ่ม penicillin หรือ cephalosporins ร่วมกับการรักษาประคับประคอง เช่น ให้น้ำเกลือแก้ไขภาวะขาดน้ำเกลือแร่ กรดด่างไม่สมดุล

วิธีการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น

โรคไข้กาฬหลังแอ่น สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 2 วิธีหลัก คือ การฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรค และการกินหรือฉีดยาต้านจุลชีพ

ศูนย์วัคซีน โรงพยาบาลวิภาวดี ให้ข้อมูลว่า ในประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคโรคไข้กาฬหลังแอ่น ประปราย ไม่พบการระบาดใหญ่ จากสถิติย้อนหลังพบว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศไทยปีละไม่เกิน 10 คน

การติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสใกล้ชิด หรือคลุกคลีอยู่กันคนหมู่มาก อยู่รวมๆกัน เช่น นักเรียนนักศึกษาในหอพัก กลุ่มผู้แสวงบุญ หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวนักเดินทางที่เข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาด ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ในประชากรกลุ่มดังกล่าว

นอกจากนี้ ผศ.นพ.ยงค์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นป้องกันโรคได้เพียงบางสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ A, C, Yและ W-135 ดังนั้น การให้วัคซีนจะได้ผลในบางพื้นที่ที่ทราบสายพันธุ์ (serogroup) ของเชื้อแล้วเท่านั้น ในกรณีให้วัคซีนไม่ครอบคลุมสายพันธุ์ก่อโรคจะไม่ได้ผลในการสร้างภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทย สายพันธุ์ที่พบบ่อย ได้แก่ สายพันธุ์ A และ B

ผู้ที่ควรได้รับวัคซีนนี้ มี 4 กลุ่มใหญ่ คือ

1. เด็กอายุมากกว่า 2 ปี และผู้ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น เดินทางไปหรืออาศัยอยู่ในแหล่งระบาดของโรค

2. นักเรียน/นักศึกษา ที่จะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หรือบางประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนนักศึกษาที่จะเข้าไปพักในหอพัก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการระบาดของโรคนี้ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ทำให้ในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามีข้อกำหนดเลยว่า นักเรียนนักศึกษาที่จะเข้าไปเรียนจะต้องได้รับวัคซีนดังกล่าวก่อนเข้าไป และจะต้องยื่นเอกสารว่าได้รับการฉีดวัคซีนนี้ด้วย

3. กลุ่มผู้แสวงบุญในพิธีฮัจจ์และอุมเราะห์ ซึ่งเป็นข้อกำหนดของทางการประเทศซาอุดิอารเบีย ก่อนเข้าร่วมพิธีดังกล่าวจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น โดยจะต้องยื่นหลักฐานว่าเคยได้รับวัคซีนนี้แล้วเพื่อใช้ในการขอ visa เข้าประเทศ โดยจะต้องฉีดล่วงหน้าก่อนเดินทางไปอย่างน้อย 10 วัน และไม่เกิน 2 ปี

4. กลุ่มนักท่องเที่ยว/นักเดินทางที่จะไปในประเทศในเขต Meningitis belt ในแอฟริกา ตั้งแต่ประเทศแกมเบีย บูร์กินาฟาโซ เซเนกัล กีนี ไปทางตะวันออกจนถึงประเทศเอธิโอเปีย หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องเข้าไปคลุกคลีกับคนในพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นผู้ที่จะเข้าไปท่องเที่ยวหรือทำงานในประเทศดังกล่าวควรได้รับวัคซีนก่อนเดินทาง

อย่างไรก็ตาม การได้รับวัคซีนโรคไข้กาฬหลังแอ่น มีผู้ที่ไม่ควรรับวัคซีนหรือควรเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อน 2 กลุ่ม ดังนี้

1. เคยมีปฏิกิริยารุนแรงต่อ วัคซีนนี้มาก่อน แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน แพ้สารลาเท็ค (latex) ซึ่งเป็นส่วนประกิบของภาชนะบรรจุวัคซีน

2. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์นานเกิน 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งได้รับยาเคมีบำบัด ฉายแสง ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการเต็มขั้นหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

ขณะที่การกินหรือฉีดยาต้านจุลชีพ ใช้ป้องกันการเกิดโรคในกรณีภายหลังการสัมผัสโรคไข้กาฬหลังแอ่น โดยยาต้านจุลชีพมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคโดยไม่ขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อ แตกต่างจากวัคซีนข้างต้น

ผู้ที่สมควรได้รับยาเพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้กาฬหลังแอ่น ได้แก่ ผู้ที่สัมผัสโรคใกล้ชิดผู้ป่วยเป็นเวลานาน เช่น สมาชิกในครัวเรือนเดียวกัน ร่วมห้องนอนเดียวกัน เด็กที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็ก, ห้องเรียนเดียวกับผู้ป่วย ทหารในค่ายเดียวกัน และผู้สัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิดในชุมชน

ดังนั้น ผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดข้างต้นควรแจ้งแก่แพทย์โดยเร็ว แพทย์จะสามารถให้คำปรึกษาแนะนำได้ว่า ผู้สัมผัสโรคสมควรได้รับยาต้านจุลชีพป้องกันหรือไม่ รวมทั้งให้ชนิดใด ในรูปกินหรือฉีด ในกรณีทั่วไป ยาต้านจุลชีพป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นได้ผลดี