หลายๆ คนต้องประสบกับอาการหลงๆ ลืม ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งก็ตรงกับผลการศึกษาวิจัยที่สรุปออกมาว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจะค่อย ๆ ลดลง โดยทั่วไปการทำงานของสมองจะเริ่มลดลงตั้งแต่เมื่ออายุ 30 ปี และจะเห็นได้ชัดขึ้นเมื่ออายุ 50 ขึ้นไป
นายแพทย์ เขษม์ชัย เสือวรรณศรี อายุรแพทย์ด้านประสาทวิทยา ศูนย์ประสาทวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้แนะนำว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทำให้สมองและจิตใจมีความกระตือรือร้นตลอดเวลาจะสามารถช่วยลดหรือชะลออาการหลง ๆ ลืม ๆ ตามวัยได้
อาการหลง ๆ ลืม ๆ ถึงแม้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแก่ตัว แต่ก็เป็นผลมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้เช่นกัน อย่างเช่น ความเครียด หรือ ภาวะร่างกายเหนื่อยล้า ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่พบมากในหมู่คนทำงาน ซึ่งคนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาการเหล่านี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากอาการเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดผลร้ายอย่างเฉียบพลัน
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ภาวะร่างกายอ่อนล้านั้น เป็นภาวะที่เรารู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีเรี่ยวแรง เซื่องซึม และซบเซา ภาวะร่างกายเหนื่อยล้าเป็นสาเหตุหลักของอาการหลง ๆ ลืม ๆ ชั่วคราวในหมู่คนวัยกลางคน และจะดีขึ้นได้เองเมื่อสุขภาพดีขึ้น”
คุณหมอเขษม์ชัยยังได้แนะนำอีกว่า หากใครกำลังประสบอาการหลง ๆ ลืม ๆ บ่อย ๆ และติดต่อกันเป็นเวลานาน หนทางที่ดีที่สุดก็คือควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง
“ภาวะร่างกายเหนื่อยล้าเป็นตัวบ่อนทำลายสุขภาพเป็นอย่างมาก จึงไม่ควรละเลย” คุณหมอบอก
สำหรับแนวทางการเพิ่มสมรรถภาพความจำให้ดีขึ้น สามารถทำได้โดยปรับรูปแบบการดำเนินชีวิต คุณหมอเขษม์ชัยแนะนำว่า วิถีการดำเนินชีวิตต่อไปนี้จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพสมองให้แข็งแรง
-นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยมีสุขลักษณะการนอนที่ดี
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอ และสมดุลกับความต้องการของร่างกาย อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายย่อมมีประโยชน์ต่อสมองด้วยเช่นกัน
-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังจะช่วยให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดี ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-เข้าสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนบ่อย ๆ จะช่วยให้สมองได้ทำงานสม่ำเสมอ และยังช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าอีกด้วย
-หลีกเลี่ยงความเครียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าหักโหมใช้สมองมากจนเกินไป
-ดื่มน้ำเยอะ ๆ
อีกแนวทางหนึ่งคือการเติมอาหารสมอง เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกายแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วย ถึงแม้ว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวของอาหารที่จะช่วยการป้องกันอัลไซเมอร์ หรือโรคเกี่ยวกับสมองอื่น ๆ แต่การรับประทาน “อาหารสมอง” บางชนิด จะช่วยให้รักษาระดับความจำเมื่อเราแก่ตัวไปได้
การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และวิตามินบางตัว เช่น วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินอี จะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองอยู่ในภาวะที่ดีที่สุด ตัวอย่างอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง ได้แก่
-ปลาทะเลต่าง ๆ เช่น แซลมอน ปลาเทราต์ ปลาทู มีปริมาณโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการทำงานของสมองสูง
-ถั่วและเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่มีวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยป้องกันความจำเสื่อม โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุ
-พืชผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม ผักคะน้า มีปริมาณวิตามินอี สูง
-อโวคาโด เป็นอาหารที่มีวิตามินอีและสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้