
องุ่นไซมัสแคท มีสารพิษขนาดนี้ ประเทศไทยทำอะไรได้บ้าง
ภาคประชาชนเรียกร้องให้ประเทศไทยร่วมกันสร้างระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยเร่งด่วน (Rapid Alert System) เพราะสามารถแสดงข้อมูลการพบอันตรายในอาหาร มาตรการที่ใช้ในการจัดการ และติดตามการดำเนินการได้อย่างทันท่วงที โดยข้อมูลในระบบจะแสดงให้เห็นตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ประเทศต้นทาง ผู้นำเข้า ซัพพลายเออร์ ผู้จัดจำหน่ายรวมถึงผู้บริโภค โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น การจัดการที่หน้าด่าน การปฏิเสธสินค้า การเรียกคืน การทำลายสินค้า เป็นต้น
หลังจากเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ( Thai-PAN) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงผลทดสอบสารเคมีเกษตรในองุ่นไชน์มัสแคททั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบว่าองุ่น 95.8% ที่สุ่มตรวจเจอสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน และตรวจพบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด ( อ่านผลวิเคราะห์และดูรายละเอียดฉบับเต็ม ในเอกสารผลวิเคราะห์ ที่ https://thaipan.org/wp-content/uploads/2024/10/live_friut_present.pdf?)
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ได้จัดเวที ‘สัญญาณแห่งความหวัง’รายงานว่าผลจากการแบนการใช้ 3 สารเคมีสำคัญ คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และจำกัดการใช้ไกรโฟเซต ตั้งแต่ในปี 2563 ทำให้ปัจจุบันปริมาณการนำเข้าสารดังกล่าวลดลงชัดเจน การเจ็บป่วยของประชาชนจากสารเหล่านี้ก็ลดลงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผลสุ่มตรวจผลองุ่นไชน์มัสแคทในครั้งนี้ พบสารตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นวัตถุอันตราย 28 ชนิด และเป็นสารที่ยังไม่มีการประเมินผลกระทบอันตรายใดๆ ภายใต้กฎหมายไทย 22 ชนิด
แม้จะมีการจำกัด ห้ามนำเข้าสารพิษอันตรายบ้างแล้วแต่ประชาชนยังเสี่ยงอันตรายจากสารพิษที่ถูกนำเข้ามากับสินค้าและอาหารจำนวนมาก โดยที่ประเทศเรายังไม่มีความรู้และความพร้อมที่จะรับมือหากส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน
ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ( Thai-PAN) กล่าวว่า การขับเคลื่อนเรื่องอาหารปลอดภัยเครือข่ายฯ ได้เรียกร้องให้ประเทศไทยร่วมกันสร้างระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยเร่งด่วน (Rapid Alert System) เพราะสามารถแสดงข้อมูลการพบอันตรายในอาหาร มาตรการที่ใช้ในการจัดการ และติดตามการดำเนินการได้อย่างทันท่วงที โดยข้อมูลในระบบจะแสดงให้เห็นตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ประเทศต้นทาง ผู้นำเข้า ซัพพลายเออร์ ผู้จัดจำหน่ายรวมถึงผู้บริโภค โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น การจัดการที่หน้าด่าน การปฏิเสธสินค้า การเรียกคืน การทำลายสินค้า เป็นต้น
“ผลการตรวจองุ่นครั้งนี้เราพบสารนอกบัญชีวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นสารที่ยังไม่ผ่านการประเมินความปลอดภัยภายใต้กฎหมายไทย 22 ชนิด จึงจำเป็นมากๆที่ต้องคำนึงถึงสารเคมีกำจัดศัตรูพืชชนิดอื่นๆที่ประเทศต้นทางเขาใช้และเซ็ตระบบ Rapid Alert System ให้มีขอบเขตการวิเคราะห์ได้ครอบคลุมและระบบนี้ยังสามารถเปิดรับข้อมูลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการได้จากทุกภาคส่วน”
“ระบบ Rapid Alert System จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องจากเป็นการรวมข้อมูลและการจัดการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่ ช่องว่างของการกำกับระหว่างหน่วยงานจะหายไป และสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบที่ชัดเจนของผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้บริโภคก็สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ และสามารถจัดการตนเองได้หากซื้อสินค้าล็อตที่มีปัญหามา ในขณะเดียวกัน ระบบนี้ยัง Alert กลับไปที่ประเทศต้นทาง ให้เกิดการจัดการปัญหา เช่นกัน”
ปัจจุบันสหภาพยุโรปได้มีใช้ระบบเตือนภัยสินค้าอาหาร (RASFF- Rapid Alert For Food and Feed) ทำให้สามารถปฏิเสธการนำเข้าสินค้าอาหารที่ไม่ปลอดภัย หรือหากสินค้ากระจายไปในท้องตลาดแล้ว ภายใน 24 ชั่วโมง ข้อมูลจะ Alert ไปยังผู้เกี่ยวข้องและสามารถจัดการกับสินค้าล็อตนั้นได้ทันที ซึ่งเป็นระบบที่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างเข้มแข็ง
ขณะที่ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร อดีตรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า “ในระบบเตือนภัยสินค้าอาหาร (RASFF) มีจุดที่ดีมากคือการ Trace Back คือเราเป็นประเทศรับสินค้าเราจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เราจะได้รับประโยชน์ เราจึงต้องรู้คนนำเข้าคือใคร ระบุตัวตนได้ไปจนถึงต้นกำเนิดสินค้า
อย่างจีนสามารถระบุถึงสวนในไทยของเราได้เลย ว่ามาจากสวนไหน เขาให้รหัส ระบบ Trace Back เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Rapid Alert System เป็นจุดของระบบที่ดีมาก ๆ เพราะแจ้งเตือนกลับมาที่จุดผลิตเลยว่ามีปัญหา ประโยชน์ตรงนี้ถือว่าได้กันทั้งสองฝ่าย ถ้าเราดีเท่ากับสินค้าเราดี ประเทศอื่นๆก็ให้การยอมรับคุณภาพสินค้าของเรา ขณะนี้ถ้าสินค้ามีปัญหาไม่ได้นำเข้าประชาชนในประเทศนั้นก็ได้ประโยชน์ มันเป็นระบบที่ช่วยดูแลคนในประเทศ”
“ประเทศที่พัฒนาระบบนี้เกิดขึ้นแล้ว เขาฉลาดมากในการรู้ว่าประเทศต้นทางใช้สารเคมีอะไรบ้าง เขาตรวจเป็นระยะ สม่ำเสมอ การตรวจแบบไม่รู้ เราจะตรวจแบบหว่านแห มันก็ใช้งบประมาณสูงแล้วไม่ค่อยเกิดประโยชน์กับประชาชนเป็นสถานการณ์ที่คล้ายของประเทศไทยตอนนี้ ประเทศญี่ปุ่นพัฒนากฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพอาหารนำเข้าแล้ว แล้วเขาไม่รับภาระมาตรวจมาก
เขาใช้วิธีการออกไปให้การรับรอง คนของเขา หน่วยงานของเขาก็มีความเชี่ยวชาญได้ทุกขั้นตอน ประชาชนของเขาได้รับการดูแลอย่างดี ขณะที่หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลไม่คิดแบบที่จะเอามาเป็นภาระทั้งหมด นี่คือระบบที่ได้รับการออกแบบ การตรวจที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคดำเนินการ ทำให้เราเห็นสถานการณ์เหมือนการเตือนภัยแต่การพัฒนาระบบเตือนภัยสินค้าอาหาร Rapid Alert System ต้องคิดเชิงออกแบบร่วมกันของหลายหน่วยงาน”
ด้าน ภก.ภานุโชติ ทองยัง กรรมการสภาองค์กรของผู้บริโภคในฐานะประธานอนุกรรมการด้านอาหาร ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพกล่าวว่า จากผลทดสอบสารเคมีเกษตรในองุ่นไชน์มัสแคทและพบสารเคมีเกินค่ามาตรฐานจำนวนมากอยากให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงพลังอำนาจในการต่อรองที่ทุกคนมีและร่วมกันพัฒนาระบบความปลอดภัยของอาหาร ให้มากยิ่งขึ้น
“ถ้ามองในมุมของประชาชนผมคิดว่าวันนี้ประชาชนจะต้องเปลี่ยนวิธีการซื้อแล้ว การซื้อสินค้าจากแหล่งใหญ่ๆ นำเข้าจากต่างประเทศต้องมีใบการันตี ใบรับรอง ผมคิดว่าถ้าเราช่วยกันดูเรื่องนี้จะกดดันทำให้ผู้จัดทำหน่ายต้องดูแล รับผิดชอบเรื่องนี้ เขาซื้อของเข้ามาขายปลอดภัยไหม
ขณะเดียวกันเราต้องเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐ ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ สารเคมีที่เจอครั้งนี้เราพบสารเคมีที่ไม่มีในระบบของไทยจำนวนมากเรายังไม่มีมาตรฐานตรงนี้ เราต้องปรับปรุง และจะเห็นว่าการตรวจครั้งนี้ไม่ได้ริเริ่มจากภาครัฐแต่เป็นผู้บริโภคที่หวั่นกลัวจึงถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐจะให้ผู้บริโภค เป็นแขนขาในการทำงานร่วมกันที่สำคัญอยากให้ภาครัฐทำงานเข้มงวด เชิงรุกมากกว่านี้ ตรวจสอบให้ละเอียด” ภก.ภานุโชติกล่าว
ภก.ภานุโชติกล่าวต่อว่า ห้างสรรพสินค้าต่างๆ มีอำนาจการต่อรองเยอะนะครับ ในการพูดคุยกับผู้นำเข้า เขาต้องผลักดันให้ผู้นำเข้ามีการันตีสินค้า มีผลตรวจวิเคราะห์มาแสดง ภาครัฐก็ตรวจด้วย จริงๆต้องบอกว่า ผู้บริโภคที่ได้ซื้อไปแล้วก็ควรได้รับการเยียวยาด้วย
ซึ่งประชาชนสามารถนำหลักฐานมาร้องเรียนได้ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค และจากเรื่องนี้ผมจึงอยากให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของ พ.ร.บ.อาหารที่ สภาองค์กรของผู้บริโภคผลักดันอยู่ อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันสนับสนุน เพราะเป็นกฎหมายที่ช่วยให้เราประชาชนทุกคนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยขึ้น
สำหรับ องุ่นไซมัสแคทที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและ Thai-PAN สุ่มทดสอบครั้งนี้จำนวนหนึ่งระบุที่มาชัดเจนว่านำเข้าจากประเทศจีน ในอีกด้านหนึ่งประเทศจีนเป็นประเทศที่มีการตรวจสอบการนำเข้าอาหารจากประเทศต่างๆ อย่างเข้มข้น ทั้งด้านการกำหนดหลักเกณฑ์ การใช้เทคโนโลยีการทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบการตรวจสอบสินค้าให้ตรวจสอบได้จำนวนมาก แม่นยำ ในเวลาอันรวดเร็ว
เพื่อสุขภาพความปลอดภัยของคนไทย อย.และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมกันยกระดับความปลอดภัยการนำเข้าสินค้าและอาหารของไทยให้ได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล…ได้แล้ว
ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถแสดงพลัง ด้วยการร่วมแสดงความคิดเห็น “เห็นด้วยหรือไม่? ซูเปอร์มาเก็ต ตลาดค้าส่ง ต้องแสดงผลการตรวจสารพิษตกค้างและรับรองความปลอดภัย ณ จุดจำหน่าย องุ่นไชน์มัสแคท” ได้ที่ https://ffcthailand.org/campaign/21