“เด็กอ้วน” เสี่ยงโรค พ่อแม่อย่าละเลย

This photo taken on August 1, 2018 shows children chatting on seats beside a road in Beijing. / AFP PHOTO / GREG BAKER
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงการรับประทานอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งเด็กด้วย เนื่องจากชีวิตที่ต้องเร่งรีบและแข่งขันกับเวลา พ่อแม่ผู้ปกครองอาจไม่มีเวลาเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอสำหรับเด็ก จึงมองหาอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เด็กได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกินไป ส่งผลให้เด็กเกิดโรคอ้วนได้

แพทย์หญิงนงนภัส เก้าเอี้ยน กุมารแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพบภาวะอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยทั้งทางด้านพันธุกรรม ฮอร์โมน พฤติกรรมการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม และขาดการออกกำลังกาย

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้ว่า ลูก ๆ มีภาวะอ้วนหรือไม่ จากการเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน หรือคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของลูก หากพบว่าลูกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน แนะนำให้พาลูกมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินว่า มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนแล้วหรือยัง เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจเลือดเพื่อดูระดับไขมันในเลือด หรือประเมินว่ามีอาการนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่

ผลเสียจากความอ้วนตั้งแต่วัยเด็กทางด้านร่างกาย คือ การก่อให้เกิดโรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระดูกและข้อ ผลเสียอีกด้าน คือ เสียบุคลิกภาพ การถูกล้อเลียนจากเพื่อน ๆ อาจทำให้เด็กรู้สึกเป็นปมด้อยได้

คุณหมอแนะนำว่า หากยังไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ โรคอ้วนสามารถป้องกันได้โดยการสร้างสุขนิสัยในการรับประทานที่ดีตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อแม่สามารถช่วยลดน้ำหนักให้กับลูกได้ โดยการให้กำลังใจลูก ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ไม่กินอาหารหวานจัด เค็มจัด หรืออาหารที่มีไขมันมากเกินไป รวมทั้งการทานขนมจุบจิบ และน้ำอัดลม เน้นการกินผักหรือผลไม้ที่รสไม่หวานจัดแทน และลดการซื้อขนมหรืออาหารสำเร็จรูปมาเก็บสะสมไว้


“นอกจากนี้ยังสามารถร่วมกันทำกิจกรรมในครอบครัวเพื่อให้ลูกได้ออกกำลังกาย เช่น การทำความสะอาดบ้าน การเล่นกีฬา ทั้งนี้ หากคนในครอบครัวร่วมแรงร่วมใจกันปรับพฤติกรรมในเรื่องของการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ลูก ๆ ที่คุณรักก็จะห่างไกลจากโรคอ้วน มีสุขภาพดี และแข็งแรงได้ในระยะยาว” แพทย์หญิงนงนภัสแนะนำ