กำหนดยีนตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพื่อให้ลูกฉลาดสมวัย

เป็นความจริงที่ว่า คนที่มีลูกมีหลานส่วนใหญ่อยากให้ลูกหลานมีสติปัญญาฉลาดปราดเปรื่อง ซึ่งความฉลาดของลูกจะถูกถ่ายทอดจากยีนของผู้เป็นแม่เท่านั้น เพราะเป็นยีนที่อยู่ในโครโมโซม X และจะทำหน้าที่ของมันก็ต่อเมื่อยีนนั้นได้มาจากแม่

“ยีนการเรียนรู้” หรือ “ยีนความฉลาด” ซึ่งเป็นยีนที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม และมีมาโดยกำเนิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ยีนตัวนี้จะช่วยให้เด็กมีความกระตือรือร้นอยากจะเรียนรู้ และสังเกตเรื่องราวรอบตัวอยู่เสมอ แต่ยีนเหล่านี้สามารถถูกเปิดหรือปิดได้หลังจากที่ลืมตาดูโลกมาแล้ว โดยมีปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พบเจอ ที่จะส่งผลให้เกิดเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดี และเป็นเด็กที่ฉลาดได้

ดร.เอมอร โคพีร่า Chief Medical Officer และผู้อำนวยการศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพระดับยีน (Regenerative & Genomics Center) โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ให้ข้อมูลว่า ความฉลาดในเด็กสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถหาคำตอบจากยีนได้ว่าเด็กควรถูกส่งเสริมความฉลาดไปในแนวทางไหนให้ตรงกับยีนที่มีอยู่ในตัวเด็กมากที่สุด

ดร.เอมอรอธิบายว่า ความฉลาดของเด็กมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ความฉลาดด้านการคำนวณ ความฉลาดด้านภาษา และความฉลาดด้านมิติความสัมพันธ์ สำหรับเด็กที่ไม่มียีนการเรียนรู้ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่พ่อแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กได้ในช่วงวัยเจริญเติบโต ซึ่งจะทำให้ยีนที่เป็นกลไกทางเคมีทำให้สารพันธุกรรมมีการปรับเปลี่ยน ทำให้เด็กมียีนการเรียนรู้ หรือยีนฉลาดขึ้นได้

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้เด็กฉลาดได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ โดยใช้วิธีจากการเจาะเลือด และนำเลือดไปแยกเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งในเซลล์เม็ดเลือดขาวจะมีนิวเคลียส (nucleus) มีโครโมโซม ที่สามารถนำเอาไปแยกเป็นยีนตัวต่าง ๆ แล้วทำการวิเคราะห์รหัสยีนที่ส่งผลต่อความฉลาดของเด็ก ทำให้รู้ว่าเด็กมียีนความฉลาดเด่นในด้านไหน เพื่อให้พ่อแม่ทราบว่าจะส่งเสริมหรือเตรียมความพร้อมอนาคตของลูกได้แบบไม่หลงทางตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์

กระบวนการวิเคราะห์ยีนยังสามารถทราบแนวโน้มและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอย่าง ธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อัลไซเมอร์ สมาธิสั้น ออทิสติก และดาวน์ซินโดรมได้อีกด้วย

“หลังจากกระบวนการวิเคราะห์เพื่อค้นหายีนความฉลาด เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงทาง epigenetics เพื่อไปทำปฏิกิริยาระหว่าง DNA กับสารโมเลกุลเล็ก ๆ ในเซลล์ ซึ่งสามารถกำหนดยีนให้ทำงานหรือไม่ทำงานได้ ซึ่งเป็นกลไกทางเคมีที่ทำให้ DNA ปรับเปลี่ยนได้ ยีนจะสามารถปรับเปลี่ยนให้มีการเรียนรู้ และฉลาดขึ้นได้”

ดร.เอมอรบอกอีกว่า แม้งานวิจัยพบว่ายีนความฉลาดถูกส่งผ่านไปยังเด็กจากโครโมโซม X (โครโมโซมของแม่) แต่สภาพแวดล้อม สังคมการเลี้ยงดู ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับเด็ก และแม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

กำหนดยีนเสริมสร้างความฉลาดของลูกตั้งแต่ในครรภ์ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ การที่พ่อและแม่ต้องส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัย และกระตุ้นในสิ่งที่เด็กสนใจ เพื่อให้เป็นเด็กฉลาดสมวัย