คนที่อยู่ในเขตร้อนอย่างประเทศไทยเราเสี่ยงที่จะประสบกับโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าคนที่อยู่ในเขตอื่น เนื่องจากสภาพอากาศ ภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อมในเขตร้อนนั้นเอื้อให้เกิดโรคมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝนคนในเขตร้อนต้องเผชิญความเสี่ยงสารพัดโรคติดต่อที่มากับฤดูกาล
ขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน คนไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากโรคติดต่อช่วงฤดูฝน 11 โรคติดต่อใน 5 กลุ่มโรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคติดต่อทางระบบหายใจ โรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ โรคเลปโตสไปโรซิส และโรคติดต่ออื่น ๆ คือ โรคมือ เท้า ปาก ซึ่งโรคที่พบอุบัติการณ์มากคือ โรคไข้เลือดออก ที่อยู่ในกลุ่มโรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ และโรคไข้หวัดใหญ่ อยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางระบบหายใจ
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ข้อมูลล่าสุดจากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 สำนักระบาดวิทยา ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2562 รายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสมระหว่างวันที่ 1 มกราคม-5 มิถุนายน 2562 รวม 26,430 ราย เสียชีวิต 41 ราย เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ที่มีผู้ป่วย 14,973 ราย เสียชีวิต 19 ราย จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1.8 เท่า และ 2.15 เท่าตามลำดับ
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
ขณะที่สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ มีข้อมูลที่องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 ว่า ขณะนี้ประเทศในเขตอบอุ่นของซีกโลกใต้ สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค ส่วนในประเทศไทย สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในปี 2562 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-6 มิถุนายน 2562 โดยระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 สำนักระบาดวิทยารายงานว่า มีผู้ป่วยทั่วประเทศจำนวน 167,377 รายเสียชีวิต 13 ราย จำนวนผู้ป่วยสะสมในภาพรวมสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง และสูงกว่าปีที่ผ่านมา
รศ.ดร.นพ.ประตาป สิงหศิวานนท์ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเขตร้อนโดยอธิบายเริ่มต้นตั้งแต่ความหมายของคำว่าเขตร้อนว่า คำว่า tropical หรือเขตร้อน คือพื้นที่ที่อยู่ระหว่างเส้นเหนือเส้นศูนย์สูตร 23.5 องศา และเส้นใต้เส้นศูนย์สูตร 23.5 องศา มีประเทศต่าง ๆ อยู่ในเขตนี้จำนวน 140 ประเทศ รวมทั้งหมู่เกาะต่าง ๆ มีประชากรอยู่ในพื้นที่เขตร้อนคิดเป็น 42% ของคนทั้งโลก ประเทศส่วนใหญ่ในเขตร้อนเป็นประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา โรคติดต่อเกิดขึ้นในเขตนี้มากกว่า 90% อีกทั้งระบบการดูแลสุขภาพไม่ค่อยดี ทำให้คนในเขตนี้มีอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่าเขตอื่น คืออายุเฉลี่ยประมาณ 79 ปี
ส่วนคำว่า “โรคเขตร้อน” ความหมายตรงตัว คือ โรคที่เกิดในพื้นที่เขตร้อน ซึ่งมักจะเป็นโรคที่มีแมลงเป็นพาหะนำโรค (เขตหนาวมีแมลงน้อยกว่าจึงเกิดโรคน้อยกว่า-ผู้เขียน) โรคในเขตร้อนที่สำคัญคือ โรคไข้เลือดออก ปัจจุบันทั้งโลกมีคน 7,300 ล้านคน ในพื้นที่เขตร้อนมีคนที่เสี่ยงต่อไข้เลือดออก 2,500 ล้านคน ในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อประมาณ 100 ล้านคน คนที่ติดเชื้อ 70% ไม่มีอาการ ส่วนใหญ่จะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อครั้งที่ 2 เป็นคนละสายพันธุ์กับที่ได้รับเชื้อครั้งแรก
“โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไม่มียารักษา จึงต้องป้องกันดีกว่ารักษา ปัจจุบันการป้องกันโรคไข้เลือดออกเรายังทำได้ไม่ดีพอ ปีนี้มีผู้ป่วยเกือบ 27,000 ราย เสียชีวิต 40 กว่าคน มากกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าไข้เลือดออกยังไม่มียารักษา แต่มีวัคซีนป้องกันแล้ว จึงแนะนำว่าคนที่เคยติดเชื้อครั้งแรกควรฉีดวัคซีนป้องกัน ทั้งนี้ก็ไม่ทราบว่าใครเคยติดเชื้อมาแล้วบ้าง เพราะว่าอาจจะมีการติดเชื้อและไม่แสดงอาการ อีกหนึ่งข้อแนะนำคือทำลายแหล่งยุงลาย” รศ.ดร.นพ.ประตาปกล่าว
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงต่อโรคเขตร้อนในฤดูฝน บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานเฮลท์แคร์ (Healthcare) ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 11 จึงได้เลือกจัดงานปีนี้ในธีม “เรียนรู้ สู้โรค 2019” ในวันที่ 27-30 มิถุนายนนี้ เวลา 10.00-20.00 น. และได้แถลงข่าวการจัดงานไปเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยมีผู้บริหารและพาร์ตเนอร์ร่วมแถลงข่าวและให้ข้อมูลงาน
คอนเซ็ปต์ของงานปีนี้โรงพยาบาลและสถาบันทางการแพทย์ที่เป็นพาร์ตเนอร์กว่า 30 ราย จะร่วมมือกันให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคเขตร้อนและป้องกันโรคเขตร้อนที่มาในหน้าฝน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานผ่านพ้นฤดูฝนปีนี้ไปอย่างสุขภาพดี และมีความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเองต่อไป
นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ รองประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดงานเฮลท์แคร์ทุกครั้งที่ผ่านมามีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักให้คนไทยใส่ใจป้องกัน และดูแลรักษาสุขภาพตนเองอย่างถูกต้อง การจัดงานได้สร้างสรรค์แนวคิดการจัดงานแต่ละปีให้สอดคล้องกับกระแสภาวะคุกคามของโรคภัยไข้เจ็บในปีนั้น ๆ ในครั้งนี้จึงเกิดแนวคิด “เรียนรู้ สู้โรค 2019” ซึ่งโฟกัสที่โรคเขตร้อน
“งานเฮลท์แคร์ปีนี้เป็นปีที่ 11 สิ่งที่งานเฮลท์แคร์ทำมาตลอดเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า คนไทยมีความสนใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น สำหรับในปีนี้เป็นปีมหามงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานได้ร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 30 แห่ง ให้บริการตรวจรักษาฟรี ครอบคลุมทุกโรค และที่สำคัญมีนิทรรศการ ‘จากน้ำพระทัยสู่การสาธารณสุขไทยยั่งยืน’ เพื่อเทิดพระเกียรติ”
นายสมหมายให้ข้อมูลรายละเอียดงานเฮลท์แคร์ 2019 ว่า งานปีนี้เป็นครั้งแรก ที่ย้ายไปจัดที่อิมแพ็ค ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี มีการขยายพื้นที่เมืองสุขภาพบนพื้นที่มากกว่า 2,000 ตารางเมตร รองรับผู้ร่วมงานได้ 6,600 คน มีบริการตรวจสุขภาพและให้คำแนะนำด้านสุขภาพโดยแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ครอบคลุมการตรวจรักษา 30 รายการ มีร้านจำหน่ายสินค้าสุขภาพมากกว่า 100 ร้านค้า มีเวที Health Talk โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ และมี Health Activity โดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน
ไฮไลต์ในงานจะมี Tropical Health Center โดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล จัดโซนให้ความรู้เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือโรคเขตร้อนอย่างเข้าใจ ให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ยา ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และตรวจคัดกรองโรคซิกา, เมืองสาธารณสุข โดยกระทรวงสาธารณสุข, Tropical Herbs Garden โดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดนิทรรศการสมุนไพรเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และแจกพันธุ์สมุนไพรฟรี, โรงพยาบาลบ้านแพ้วให้บริการลอกต้อเนื้อฟรี จำนวน 66 ราย
ในเรื่องสถานที่จัดงาน ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงานไปจัดที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี หลายคนอาจจะกังวลเรื่องการเดินทางที่เดินทางค่อนข้างยาก แต่ผู้จัดงานมีบริการรถรับ-ส่งพิเศษให้บริการฟรี โดยการสนับสนุนของเชิดชัยทัวร์ โดยขาไปมีรถรับจากบีทีเอส หมอชิต (ทางออก 2 และ 4) ไปส่งที่งาน เวลา 08.00 น. และ 11.00 น. และขากลับ มีรถรับจากเมืองทองธานีมาส่งที่บีทีเอส หมอชิต เวลา 13.00 น. และ 17.00 น. ตลอดทั้ง 4 วัน
ส่วนผู้ที่จะเดินทางเองก็มีหลายทางให้เลือก ทั้งรถยนต์ส่วนตัวที่มีที่จอดรถรองรับจำนวนมากกว่า 10,000 คัน และมี free shuttle service รับ-ส่ง หน้างานตั้งแต่เวลา 09.15-18.45 น. รถตู้ สามารถเดินทางได้ 6 เส้นทาง ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, รามคำแหง, สนามหลวง, เดอะ มอลล์งามวงศ์วาน และสถานีบีทีเอส จตุจักร รถสองแถว สามารถเดินทางได้ 2 สาย ได้แก่ สายเมืองทอง-ถนนแจ้งวัฒนะ และสายเมืองทอง-ถนนติวานนท์ ส่วนรถเมล์สามารถเดินทางได้ดังนี้ เส้นทางวิภาวดีรังสิต-แจ้งวัฒนะ สาย 52, 59, 150, ปอ.4, 10, 13, 19, 29 เส้นทางห้าแยกปากเกร็ด สาย 32, 33, 51, 90, 104, 359, 367 เส้นทางเมืองทองธานี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สาย ปอ.166