“หัวใจเต้นผิดจังหวะ” ภาวะใกล้ตัวที่ร้ายแรงกว่าที่คิด

หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก ๆ ต่อร่างกายและการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ดังนั้น โรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวข้องกับหัวใจก็ล้วนแต่อันตรายต่อชีวิต ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” เป็นโรคหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้คนก็ยังขาดความตระหนัก ขาดความสนใจเกี่ยวกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วภาวะนี้ร้ายแรงกว่าที่คิด

ในขณะนี้ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะกลายเป็นหนึ่งในโรคหัวใจที่กำลังเกิดขึ้นมากในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งภาวะดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุข ทั้งด้านการเงินและความเป็นอยู่ของผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นระริก หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เอเอฟ (AF : atrial fibrillation)” คือ การที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ ส่วนมากหัวใจจะเต้นเร็วเกินไป คือ มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (ปกติจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที) จนส่งผลให้การบีบกล้ามเนื้อของหัวใจห้องบนทั้งสองห้องไม่สัมพันธ์กัน

จากรายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชีย-แปซิฟิก (Beyond the Burden : The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019) ซึ่งรวบรวมโดย Biosense Webster ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ พบว่า ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากถึง 5-6 เท่า เพิ่มความเสี่ยงการเกิดหลอดเลือดสมองอุดตัน 2.5-3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-3 เท่า มีการคาดเดาว่าภายในปี พ.ศ. 2593 จะมีจำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียจะมีมากถึง 72 ล้านคน และในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะมีผู้ป่วยมากเป็น 2 เท่าของจำนวนผู้ป่วยในยุโรปและอเมริกาเหนือรวมกัน

นพ.ธัชพงศ์ งามอุโฆษ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมีเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นภาวะนี้คืออายุ และเนื่องด้วยสังคมปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนปัจจัยเสี่ยงรองลงมาคือกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) หรือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ไขมันสูง และผู้ที่เคยเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

อาการโดยทั่วไปของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่น หายใจติดขัด และแน่นหน้าอก ซึ่งมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยออกกำลังกายได้น้อยลง

อย่างไรก็ตาม อ.นพ.ธัชพงศ์กล่าวว่า “เนื่องจากอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้งไม่ชัดเจนเหมือนโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่คิดว่านั่นคือความผิดปกติที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มาหาหมอครั้งแรกด้วยอาการอัมพาต บ้างมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลวจากภาวะน้ำท่วมปอด” ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน ที่พบว่า 15-46% ของผู้ป่วยในเอเชีย-แปซิฟิกไม่มีอาการ และผู้ป่วย 10.7% มีอาการเรื้อรังขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี

นอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังก่อให้เกิดภาระในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านการเงิน ครอบครัว และคุณภาพชีวิต จากรายงานเดียวกันที่กล่าวไปแล้ว พบว่า ผู้ป่วยในเอเชีย-แปซิฟิกมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้นถึง 1.8-5.6 เท่า ในทุก ๆ 10 ปี และมากถึง 57% กล่าวว่าคุณภาพชีวิตถูกบั่นทอน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวและใช้เวลาโดยเฉลี่ย 5 ถึง 12.5 วันต่อปีในโรงพยาบาล ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อปีกว่า 2,400 เหรียญสหรัฐในไต้หวัน (ประมาณ 73,000 บาท) 3,600 เหรียญสหรัฐในไทย (ประมาณ 109,000 บาท) และเกือบ 9,000 เหรียญสหรัฐในเกาหลี (ประมาณ 273,000 บาท)

ศาสตราจารย์ภิชาน นพ.กุลวี เนตรมณี อาจารย์พิเศษ ฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และอายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์หัวใจเต้นผิดจังหวะ รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการติดตามและร่วมการศึกษากับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกและทั่วโลกเพื่อติดตามการรักษาและสถานการณ์ของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมจากภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจในไทยนั้นค่อนข้างจำกัด โอกาสต่อยอด
และการฝึกฝนจึงมีน้อยตามไปด้วย ทำให้แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในการรักษาในไทยมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย

อย่างไรก็ตาม การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบันนับว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยการรักษามี 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่

1.การใช้ยาเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอย่างยาละลายลิ่มเลือดควบคู่กับการควบคุมการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป หรือการใช้ยาเพื่อให้หัวใจเต้นเป็นปกติตลอดเวลา กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย ร่างกายจะไม่ตอบสนองกับยากลุ่มหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นยาทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้รักษาอาการให้หายขาด ยังคงความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตและโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาอยู่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องรับประทานยาตลอดชีวิตอีกด้วย ก่อให้เกิดปัญหาด้านค่าใช้จ่าย2.การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrequency catheter ablation) นับเป็นวิทยาการล่าสุดและมีวิธีกระบวนการรักษาที่ต่างกันออกไปแล้วแต่เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้น

นพ.กุลวีอธิบายถึงการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยวิธีที่กำลังใช้อยู่ว่า “เป็นการรักษาด้วยการจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุผนวกกับการจำลองภาพ 3 มิติของหัวใจ 2 ห้องบนพร้อมประมวลผลและแสดงความซับซ้อนของคลื่นไฟฟ้าในหัวใจโดยใช้สีเพื่อจำลองหัวใจผู้ป่วยให้เสมือนจริงมากที่สุด ทำให้การหาตำแหน่งและจี้ทำลายจุดที่ก่อให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะชัดเจนและแม่นยำขึ้น เป็นการรักษาที่ต้นเหตุโดยตรง ทำให้การฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ซึ่งงานวิจัยของ นพ.กุลวี ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถหายขาดได้ อายุยืนขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีโอกาสน้อยกว่า 3-4% ที่อาการจะกลับมา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยด้วย

คุณหมอทั้งสองท่านแนะนำเหมือนกันว่า เราควรตรวจดูชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ เพราะหากตรวจเจอเร็วก็จะสามารถรักษาได้แต่เนิ่น ๆ เปอร์เซ็นต์การหายขาดก็จะเพิ่มขึ้นตาม แต่ที่สำคัญที่สุดเราควรมีวินัยในการดูแลสุขภาพตัวเอง ป้องกันกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วคุณภาพชีวิตที่ดีก็จะตามมา