หลายคนมักบอกว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ และอีกหลายคนเชื่อว่าการดูแลสุขภาพตัวเองที่ดีที่สุดคือการงดบริโภคอาหารที่มีไขมัน เพราะเข้าใจว่าไขมันมีแต่ก่อให้เกิดโทษ บางคนก็เชื่อว่าการหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด
นายพศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพและวิทยากรด้านอาหารและสุขภาพ จากเพจเฟซบุ๊คชื่อดังด้านอาหารและโภชนาการ ‘เมื่อวานป้าทานอะไร?’ ได้มาร่วมไขข้อข้องใจของใครหลายๆ คนเกี่ยวกับการรับประทานไขมัน พร้อมแนะนำว่า “การงดรับประทานไขมันไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพที่สุด หากแต่คือ การปรับพฤติกรรมการบริโภคด้วยการเพิ่มปริมาณ ‘ไขมันดี’ ในมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบครัน”
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
หน้าที่ของนักกำหนดอาหารวิชาชีพไม่ใช่เพียงแค่กำหนดประเภทหรือปริมาณอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแต่ละคน หากแต่ยังต้องส่งเสริมและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการบริโภคอาหารด้วย ดังเช่นแนวคิดเดิมๆ ที่ว่าการบริโภคไขมันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ จนอาจทำให้หลายคนลืมฉุกคิดไปว่าร่างกายเราจำเป็นต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งไขมันก็เป็นหนึ่งในสารอาหารที่ร่างกายนั้นขาดไม่ได้ ในปัจจุบันมีผลการวิจัยจำนวนมากที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ไขมันบางประเภทมีข้อดี แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าจากสารอาหารที่จำเป็น และให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายของเรา แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ และอาจมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับประทานไขมัน ดังนั้น เรามาทำความรู้จักไขมันให้ดีขึ้นกันดีกว่า
1.รู้จักเลือกรับประทานไขมันให้
คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ควรจะเลือกรับประทานไขมันประเภทไหน แล้วแบบไหนที่เรียกว่าไขมันดี จริงๆ แล้วเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว ไขมันดีคือไขมันประเภทไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน พบได้ในน้ำมันที่สกัดจากพืข ไขมันทั้งสองประเภทนี้มีคุณสมบัติในการลดไขมันไม่ดีในเลือดหรือโคเลสเตอรอลตัวร้ายอย่าง LDL ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โดยเราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันที่สกัดจากพืชอย่างน้ำมันมะกอก ที่อุดมไปด้วยไขมันดีทั้ง 2 ประเภทนี้ นอกจากนี้ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกยังประกอบไปด้วยกรดไขมันที่ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ และยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย
2.ไขมันดี ยิ่งกิน ยิ่งได้ประโยชน์
ปริมาณไขมันที่แนะนำให้คนทั่วไปซึ่งมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานรับประทานคิดเป็น 20-35% ของปริมาณพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน นอกจากไขมันจะมีหน้าที่ให้พลังงานแก่ร่างกายแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการของสมองอีกด้วย เชื่อหรือไม่ว่ากว่า 60% ของสมองคนเราเป็นส่วนประกอบของไขมันทั้งสิ้น เพราะเหตุนี้ ร่างกายเราจึงต้องการไขมันดี ซึ่งจะทำหน้าที่หล่อเลี้ยงและบำรุงสมอง
ผลงานวิจัยของศาสตราจารย์แกรี่ แอล เว็งค์ ศาสตราจารย์ภาคประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต แสดงให้เห็นว่าอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีส่วนช่วยในด้านการรับรู้และความจำ กล่าวคือ ไขมันดีจะช่วยลดโอกาสการสูญเสียความทรงจำ1 นอกจากนี้ ดร. เดวิด เพิร์ลมัทเทอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและผู้แต่งหนังสือ Grain Brain ยังอธิบายอีกว่า ไขมันทำหน้าที่ช่วยสร้างเซลล์ประสาทและยังทำหน้าที่เสมือนเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.ไขมันดี ยิ่งกิน ยิ่งผอม
การรับประทานอาหารที่มีองค์
4 อาหารอุดมไปด้วยไขมันดี
- น้ำมันมะกอก: อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ ซึ่งดีต่อหัวใจ และยังมีสาร โพลีฟีนอล ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้
- ปลาแซลมอน: แหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ชั้นเยี่ยม ช่วยลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี
- อโวคาโด: แหล่งของไขมันดี เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอี
- ถั่ววอลนัท: อุดมไปด้วยประโยชน์จากกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะกรดไขมันแอลฟาไลโนเลอิก
ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการรับประทานไขมันกัน และอย่าลืมว่าไขมันเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของมื้ออาหารที่ขาดไม่ได้ โดย้เราสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ เพียงเปลี่ยนจากการงดรับประทานไขมัน เป็นเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงแค่นี้เราก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ไม่ยากเลย
ข้อมูลอ้างอิง
[1] ที่มา: https://www.psychologytoday.com/blog/your-brain-food/201205/dietary-fats-improve-brain-function
2ที่มา: European Journal of Clinical Nutrition (2013) 67, 759–764; doi:10.1038/ejcn.2013.90; published online 1 May 2013