โรคต้อกระจก ปัจจัยคุกคามคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ

ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยสูงอายุ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั้น คือความเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ที่จะเสื่อมถอยตามกาลเวลา จนก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา อาทิ โรคทางสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคทางสายตา ซึ่งไทยเป็นอีกประเทศที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 ด้วยจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอัตรา10.5 % คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15.7 % ในปี 2573 ดังนั้นการเตรียมพร้อมรับมือดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญที่บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดไม่ควรละเลย

รศ.นพ.นริศกิจณรงค์ จักษุแพทย์ผู้เชียวชาญด้านต้อหิน ต้อกระจก และ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ 95 %เป็นต้อกระจกที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมตามอายุ ส่วนสาเหตุอื่นๆ อาทิ การเกิดอุบัติเหตุของดวงตา การได้รับสารเคมี การหยอดตาหรือทานยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งอาจพบได้ 3-4 % และสุดท้ายคือต้อกระจกแต่กำเนิดซึ่งพบได้ในเด็กเเรกเกิด 1-2%

โรคต้อกระจกระยะเเรกอาจจะไม่มีอาการที่ส่งสัญญาณบอกเด่นชัด เมื่อเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการตามัวทีละน้อยๆ คล้ายกับมีหมอกมาบัง โดยเฉพาะเมื่อเจอแสงสว่างหรือแสงแดดก็จะรู้สึกมัวมากยิ่งขึ้น ในคนไข้บางรายอาจพบว่าค่าสายตามีการเปลี่ยนแปลง เช่น จากเป็นคนที่จำเป็นต้องใส่แว่นสายตาสำหรับมองในระยะใกล้ทุกครั้ง ก็กลายเป็นสามารถมองระยะใกล้ได้โดยที่ไม่ต้องใส่แว่นสายตาอีกต่อไป หากอาการตามัวเป็นมากขึ้นจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และอาจนำไปสู่ภาวะการสูญเสียการมองเห็น อันเป็นผลเสียอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ

ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการรักษาต้อกระจกมีความก้าวหน้ามากจนสามารถทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนดังเดิมหรือดีกว่าเดิมได้โดยการรักษาต้อกระจก ประกอบด้วย แบบไม่ใช้การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่เป็นต้อกระจกที่ยังเป็นไม่มากอาจใช้การสวมเเว่นตา การใช้ยาหยอดตาเพื่อช่วยชะลอหรือลดความขุ่นของต้อกระจกซึ่งอาจได้ผลไม่แน่นอน ส่วนการขยายม่านตาเพื่อรับแสงเข้าดวงตามากยิ่งขึ้นอาจใช้ในการรักษาโรคต้อกระจกแต่กำเนิดได้ และแบบใช้การผ่าตัด โดยผ่าตัดเอาต้อกระจกออกแล้วใส่เลนส์เทียมเข้าไปในดวงตา ถือเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน โดยทั่วไปจะใช้คลื่นความถี่สูงในการสลายต้อกระจก หรืออาจจะมีการใช้เลเซอร์ช่วยในการผ่าตัดได้

สำหรับเลนส์เทียมสามารถแบ่งตามลักษณะวัสดุในการผลิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เลนส์เทียมชนิดแข็ง เป็นเลนส์เก้วตาเทียมที่ใช้ในการผ่าตัดต้อกระจกชนิดแผลใหญ่ โดยเลนส์จะเเข็งไม่สามารถพับได้ ปัจจุบันจะใช้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น และ เลนส์เทียมชนิดนิ่มหรือชนิดพับได้ เป็นเลนส์เทียมที่สามารถพับและสอดผ่านแผลผ่าตัดต้อกระจกที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 2.5 มิลลิเมตรได้ จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะเมื่อแผลผ่าตัดเล็กลง ระยะการพักฟื้นและการหายของแผลก็จะเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ผู้ป่วยจึงสามารถใช้สายตาภายหลังการผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้เลนส์เทียมชนิดนิ่มสามารถเเบ่งได้อีก3 ประเภท คือ เลนส์เทียมที่ให้ความชัดระยะเดียว คือระยะไกล ปัจจุบันใช้ในผู้ป่วยประมาณ 90 % เลนส์เทียมที่ให้ความชัดได้สองระยะ คือ ให้ความชัดระยะใกล้และระยะไกล โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีระยะชัดสามระยะ คือ ให้ความชัดระยะใกล้-กลาง-ไกล และ เลนส์แบบยืดหยุ่น ปรับระยะได้ในตัวเอง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการคิดค้นพัฒนา

การเลือกใช้เลนส์เทียมชนิดใดนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างแต่ที่สำคัญคือลักษณะของดวงตาผู้ป่วย การตรวจตาโดยจักษุแพทย์ว่ามีภาวะอื่นๆ ทางตาร่วมด้วยหรือไม่ เช่น โรคของจอตา โรคของกระจกตา ความเอียงของสายตา เป็นต้น ความรู้ของผู้ป่วยและญาติในเรื่องโรคต้อกระจก วิธีการรักษา วิธีการผ่าตัด และชนิดเลนส์เทียม จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาเเละชนิดของเลนส์เทียมได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นภายหลังจาการผ่าตัดรักษาต้อกระจก

“ต้อกระจกเป็นโรคที่เมื่อตรวจพบได้เร็วจะสามารถรักษาให้หายได้อย่างทันท่วงที และไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การดูแลและเอาใจใส่ผู้สูงอายุจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่บุตรหลานหรือคนใกล้ชิดควรตระหนัก โดยการเริ่มต้นง่ายๆ คือ การพาท่านไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือคนทั่วไปที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ก็ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งเช่นเดียวกัน” รศ.นพ.นริศ กล่าวเพิ่มเติม