Pour Over Lab ร้านกาแฟในห้องทดลอง ให้วิทยาศาสตร์บอกคุณ กาแฟตัวไหนดีที่สุด

โลกของกาแฟมีอะไรให้ค้นหาไม่สิ้นสุด พัฒนาการของวงการกาแฟในบ้านเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันบรรดาคนรักกาแฟที่พิถีพิถันกับการเลือกเมล็ดกาแฟก็เพิ่มขึ้นมาก เราจึงได้เห็นเทรนด์การดื่มกาแฟพิเศษ หรือ specialty coffee กันมากขึ้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” เพิ่งไปเจอร้าน specialty coffee คอนเซ็ปต์น่าสนใจร้านหนึ่งที่อยากแนะนำให้คอกาแฟได้รู้จักกัน ชื่อร้านว่า Pour Over Lab ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่

Pour Over Lab เป็นร้านกาแฟสเปเชียลตี้ คอนเซ็ปต์ห้องทดลองที่นำหลักเหตุและผล พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในกระบวนการชงกาแฟ เพื่อให้ได้กาแฟที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า

โดยทั่วไปร้านกาแฟสเปเชียลตี้จะให้ลูกค้าเลือกเมล็ดกาแฟ แต่ Pour Over Lab ไม่ให้เลือก ! เพราะเหตุผลที่น่าสนใจก็คือว่า เมล็ดกาแฟจะมีจุดพีกของมัน ถ้าวันไหนกาแฟยังไม่ถึงจุดพีก เอามาชงยังไงก็ไม่อร่อย นั่นแปลว่าเมล็ดกาแฟสุดโปรดของคุณก็ไม่ได้อร่อยถูกใจคุณทุกวัน

ถ้าไม่ให้เลือกเมล็ดแล้วเลือกอะไรได้ล่ะ ? คำตอบคือเลือกได้เยอะเลย เริ่มจากเลือกว่าอยากดื่มกาแฟโทนไหน จะเป็นโทนเปรี้ยวกลิ่นหอมสดชื่นแบบ fruity & floral หรือเปรี้ยวติดหวานโทน fruity & sweet หรือจะเป็นโทน sweet & nutty หรือจะเป็นโทน sweet & chocolate ซึ่งในเมนูของร้านก็จะมีบอกว่าในโทนนั้น ๆ มีเมล็ดกาแฟตัวไหนบ้าง

แต่อย่างที่บอกว่า กาแฟมีจุดพีกของมัน พนักงานจึงต้อง cupping หรือชิมกาแฟทุกตัวในทุก ๆ เช้า เพื่อเลือกเมล็ดกาแฟที่พีกในวันนั้น ๆ มานำเสนอลูกค้า สมมุติว่าคุณอยากดื่มโทน fruity & sweet ซึ่งในเมนูมีเมล็ดกาแฟในโทนนี้ 4 ตัว แต่ในวันนั้นพนักงานอาจจะแนะนำแค่ตัวเดียว เพราะตัวอื่น ๆ ยังไม่พีก หรือถ้าคุณยืนยันจะดื่มกาแฟตัวโปรด ทั้งที่พนักงานบอกว่าเมล็ดกาแฟตัวนั้นยังไม่พีก ก็ได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ว่า มันจะไม่อร่อยเท่าที่ควร

หลังจากเลือกโทนแล้วก็เลือกได้ว่าจะใช้เครื่องชงแบบไหน ใช้กรวยตัวไหน เลือกได้หมดเลย น่าจะสนุกมาก ๆ สำหรับคนที่อยากทดลองอุปกรณ์ต่าง ๆ

แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่คอกาแฟจ๋า ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์พวกนี้ แค่บอกโทนที่ต้องการแล้วพนักงานก็จะแนะนำให้ คุณก็แค่นั่งรอให้กาแฟมาวางตรงหน้าก็พอ

เมล็ดกาแฟของร้านนี้เป็น single origin ไม่มี blend เลยแม้แต่ตัวเดียว เพราะร้านอยากดึงแคแร็กเตอร์ของกาแฟแต่ละตัวออกมานำเสนอให้ได้มากที่สุด ส่วนระดับการคั่วเป็นคั่วอ่อน ฉะนั้นถ้าใครชอบกาแฟเข้ม ๆ เราไม่แนะนำ

ในบรรดาเครื่องชงที่มีให้เลือกได้หลากหลาย ตัวหนึ่งที่เป็นไฮไลต์คือ เครื่องทำกาแฟสกัดเย็น One Dutch ซึ่งเป็นเครื่องแรกและเครื่องเดียวในประเทศไทย ณ ตอนนี้ เป็น automatic cold drip ที่สามารถลดเวลาการทำ cold drip ให้สั้นลง และให้รสชาติที่เสถียรมาก

ส่วนการนำเครื่องมือวิทยาศาสตร์มาใช้ก็ยกตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องมือมิกเซอร์คูลดาวน์กาแฟ และการนำปืนวัดอุณหภูมิมาวัดอุณหภูมิกาแฟขณะคูลดาวน์ เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เป๊ะที่สุด

ทุกเมนูของร้านจะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำสีฟ้า ดูคล้ายแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ แต่นั่นคือน้ำแร่ผสมน้ำอัญชัน ซึ่งเจ้าของร้านเสริมเข้ามา เนื่องจากรีเสิร์ชมาแล้วว่า สีฟ้าจะช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย

ในวันที่เราไปเยือน ได้ลอง cupping กาแฟ 3 ตัว แล้วเลือก 2 ตัว คือ El Savador Ataco Ahuachapan Natural และ Kenya Endeless Estate Natural มาทำเมนูกาแฟเย็น ให้รสชาติโทนเปรี้ยวสดชื่น

หนึ่งเมนูแนะนำของร้าน คือ On The Rock ที่ทำมาจากเมล็ดกาแฟที่ถูกหมักบ่มในถังไม้โอ๊ก จึงได้กลิ่นถังไม้โอ๊กเหมือนดื่มเหล้าในรสชาติกาแฟ

อีกหนึ่งตัวคือ Sphere Moon เมนูในหมวด cold drip ตัวนี้เป็นเมนูที่นำไซรัปยูสุไปปั่นกับน้ำแข็ง แล้วเทกาแฟโคลด์ดริปลงไป เป็นเมนูที่ดื่มแล้วสดชื่นดีมาก

นอกจากกาแฟแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มหมวด non-coffee ให้เลือกหลายเมนู ทั้งชาเขียว ชาไทย โกโก้ นม ชาร้อน และม็อกเทล ซึ่งเราได้ลองชิม Black & Brown Cacao แบบปั่น รสชาติกลม ๆ ละมุน ๆ เป็นเหมือนที่บาริสต้าบอกว่า เมนูผสมนมของร้านนี้รสชาติจะบาลานซ์ระหว่างวัตถุดิบหลักและนม ถ้าเป็นเมนูกาแฟใส่นมก็จะเป็นรสชาติกลมกล่อม ไม่ใช่รสกาแฟจัด เช่นกันกับโกโก้ปั่นแก้วนี้ก็เป็นโกโก้เข้มกลาง ๆ กับรสชาตินมนวล ๆ หวานน้อย

ร้านมีคอนเซ็ปต์ดี การชงพิถีพิถันแบบนี้ ดูเหมือนจะราคาสูงมาก แต่ก็ขายในราคาจับต้องได้ 80-160 บาท ไม่ต่างจากร้านกาแฟเชนใหญ่ทั่วไป ขอแนะนำให้คนรักกาแฟไปลองสักครั้ง รสชาติจะถูกใจหรือไม่ เราไม่การันตี เพราะความอร่อยเป็นรสนิยมส่วนบุคคล แต่เรื่องความสนุกและความรู้ที่ได้จากการคุยกับบาริสต้านั้น ขอการันตีให้เลยว่าได้แน่นอน