กัญชา 5 สายพันธุ์น่าปลูก ค่า CBD สูง ประโยชน์หลากหลาย ผลตอบแทนดีงาม

นาทีนี้คงไม่มีพืชชนิดไหนมาแรงไปกว่า กัญชา เพราะหลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวง ปลดล็อกให้สามารถปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจได้ โดยอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด ก็ทำให้พืชชนิดนี้มีค่าดั่งทอง กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับใครหลายคน

การจะปลูกกัญชาเพื่อทำเงินนั้น การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกและตรงกับความต้องการของตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งทั่วโลกมีสายพันธุ์กัญชาอยู่เป็นจำนวนมาก และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

กัญชาเป็นพืชสกุล Cannabis อยู่ในวงศ์ Cannabidaceae พบได้บ่อย 3 สายพันธุ์ใหญ่ ได้แก่ สายพันธุ์ซาติวา (Cannabis Sativa) สายพันธุ์อินดิกา (Cannabis Indica) และสายพันธุ์รูเดอราลิส (Cannabis Ruderalis) ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีความโดดเด่น และต้องการการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน

สายพันธุ์กัญชาที่นิยมนำมาใช้ในทางการแพทย์ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีสาร CBD (Cannabinoid) สูง เพราะเมื่อนำมาใช้จะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับสาร THC (Tetrahydrocannabinol) สำหรับใครที่สนใจอยากปลูกกัญชา เราได้รวบรวมสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะจะนำมาใช้ในการแพทย์มากที่สุดทั่วโลก 5 สายพันธุ์ ดังนี้

Harle-Tsu

ฮาร์ละ’ สึ (Harle-Tsu) สายพันธุ์กัญชา Indica Dominant 60% เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ Sour Tsunami และ Harlequin ออกมาเป็นสายพันธุ์กัญชาที่เปรียบเสมือนยาแก้ปวด และให้สาร CBD สูงมาก เมื่อเทียบกับสาร THC สัดส่วนอยู่ที่ 22 : 1 ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ไมเกรน ภาวะซึมเศร้า การนอนไม่หลับ การอักเสบ และภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD)

Cannatonic

แคนนาโทนิก (Cannatonic) เป็นสายพันธุ์ Indica และ Sativa อย่างละ 50% เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ Reina Madre และ NYCD เมื่อสกัดออกมาจะได้สาร CBD ประมาณ 6-17% และสาร THC ประมาณ 6% โดยกัญชาสายพันธุ์นี้สามารถจำแนกปริมาณสาร CBD ต่อสาร THC ได้ 3 รูปแบบคือ 1.มีอัตราส่วนของสาร CBD และ THC เท่ากันอยู่ที่ 1 : 1 2.มีอัตราส่วนของสาร CBD มากกว่า THC 3.มีอัตราส่วนของสาร THC มากกว่า CBD

สำหรับสายพันธุ์แคนนาโทนิก อัตราส่วนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ 1 : 1 ถึงแม้ว่าสาร THC จะมีผลข้างเคียงมาก แต่ก็มีโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง โรคออทิสติกและอาการปลายปลอกประสาทเสื่อม ที่ต้องใช้สารทั้งสองชนิดควบคู่กันไปในการรักษา ดังนั้นกัญชาสายพันธุ์แคนนาโทนิก จึงนิยมนำไปใช้ในทางการแพทย์

OG Kush CBD

โอจี คุช ซีบีดี (OG Kush CBD) เป็นสายพันธุ์ Sativa Dominant 60% เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ OG Kush และ pureCBD เป็นสายพันธุ์กัญชาที่มีปริมาณสาร CBD และ THC เท่ากันคือ 10% หรือในอัตรา 1 : 1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สายพันธุ์นี้มีประโยชน์อย่างมาก มักจะนำไปใช้ประโยชน์ในการช่วยลดความวิตกกังวล ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ความเจ็บปวด และความผิดปกติของการนอน

Charlotte’s Web

ชาร์ล็อตต์ เว็บ (Charlotte’s Web) กัญชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เป็นสายพันธุ์ที่มี Indica Dominant 60% ให้สาร CBD ในปริมาณที่สูง โดยมีอัตราส่วนของสาร CBD ต่อสาร THC อยู่ที่ 27 : 1 ด้วยปริมาณสาร THC ที่ต่ำมาก จึงมักจะนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ช่วยบำบัดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ในรูปแบบของน้ำมัน CBD (CBD oil) เพราะสายพันธุ์นี้ไม่ทำให้เกิดการมึนเมาและไม่มีผลต่อสมอง

ในทางการแพทย์สายพันธุ์นี้ถูกนำไปใช้ในการรักษาอาการชักในเด็ก จนโด่งดังเป็นที่รู้จักและเป็นที่มาของชื่อจากการช่วยเด็กหญิง Charlotte Figi ซึ่งป่วยเป็นโรคลมชักชนิดรุนแรง (Dravet’s Syndrome)

Ringo’s Gift

ริงโก กิฟต์ (Ringo’s Gift) เป็นสายพันธุ์ Sativa Dominant 60% หรือเป็นกัญชาที่มีความเป็นซาติวาสูงกว่าอินดิกา เป็นสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมระหว่าง ACDC และ Harle-Tsu ซึ่งทั้งสองพันธุ์ขึ้นชื่อว่าให้สาร CBD อยู่ในระดับสูง โดยตั้งชื่อตาม Lawrence Ringo นักเคลื่อนไหวด้านกัญชาและเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ CBD

ริงโก กิฟต์ มีอัตราส่วนระหว่างสาร CBD และ THC อยู่ที่ 20 : 1 มักจะนิยมใช้กับกลุ่มคนที่มีอาการทางสมอง โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) และโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง