งานวิจัยฝีมือคนไทย..สู่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ “รักษาเเผลในปาก-ป้องกันโรคมะเร็ง-เจลหม่องพริกพิโรธ”

ภาพประกอบจาก pixabay

เมื่อพืช ผัก ผลไม้ ถูกนำมาต่อยอดในงานวิจัย สู่ผลงานนวัตกรรมต่างๆ ไม่เพียงเเต่ช่วยในด้านอุตสาหกรรม หากยังช่วยกระตุ้น เเละขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย…

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มนักวิจัยในงาน 25 ปี สกว.: สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต จัดขึ้นเพื่อสื่อสาร กระบวนการคิด วิธีทำงานเเละผลวิจัย ความร่วมมือกับภาคีวิจัยเเละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนงานวิจัย โดย รศ.ดร.ภก. ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้นำผลงาน “ยาเจลสกัดจากเปลือกมังคุดสำหรับรักษาแผลอักเสบในช่องปาก”  มาจัดเเสดงภายในงาน

รศ.ดร.ภก. ภาคภูมิ เล่าถึงการเตรียมสารสกัดก่อนจะมาเป็นงานวิจัย ยาเจลสกัดจากเปลือกมังคุดสำหรับรักษาแผลอักเสบในช่องปาก กล่าวว่า เปลือกผลมังคุดเป็นวัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมน้ำผลไม้ ซึ่งสารสกัดจากเปลือกผลมังคุดมีคุณค่าทางการแพทย์และเภสัชมาก อุดมไปด้วยสารกลุ่มแซนโทน (เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการอักเสบในร่างกาย-การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการภูมิแพ้) โดยเฉพาะสารแอลฟา-แมงโกสติน (ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ดี)

โดยสารสกัดจากเปลือกผลมังคุดมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากมาย อาทิ ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ ต้านการอักเสบ ต้านออกซิเดชัน และสมานแผล จึงนิยมนำสารสกัดจากเปลือกผลมังคุดมาใช้ในอุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอาง โดยเจลยาสกัดจากเปลือกผลมังคุดจะช่วยรักษาเเผลในปากได้ดี

“รศ.ดร.ภก. ภาคภูมิ” งานวิจัยนี้มุ่งเน้นในการเตรียมสารสกัดเปลือกผลมังคุด โดยใช้ “ไอโซโพรพิล เมอริสเทรต” และ “เซตทิล แอลกอฮอล์” ซึ่งทั้งสองตัวนี้ในทางเภสัชกรรมใช้เป็นสารละลาย โดยใช้สารทั้งสองเป็นตัวทำละลายในการสกัดสารจากเปลือกผลมังคุด และทำการสกัดสารด้วยเครื่องไมโครเวฟ

การสกัดสารด้วยเครื่องไมโครเวฟ ถือว่าเป็นวิธีการสกัดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สารทั้งสองชนิดนี้มีความปลอดภัยและมีราคาที่ถูกกว่า สารสกัดที่ได้จากวิธีการนี้มีสารแอลฟา-แมงโกสตินที่ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และสามารถนำมาใช้เตรียมทำยาได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการระเหยตัวทำละลายออก ช่วยให้ลดต้นทุนการผลิต และได้นำสารสกัดดังกล่าวมาใช้เตรียมยาในรูปแบบยาเจลเพื่อใช้สำหรับรักษาแผลอักเสบในช่องปาก

โดยเจลยาสกัดจากเปลือกมังคุดสำหรับรักษาแผลอักเสบในช่องปาก บรรจุมาในรูปแบบของหลอด ซึ่งเนื้อเจลเป็นสีขาว จากการสกัดทำให้เนื้อเจลไม่มีกลิ่นของเปลือกมังคุด เวลาใช้เพียงนำยาเจลเเต้มไปบริเวณที่เป็นเเผลในปาก ตัวเจลจะเคลือบทับส่วนที่เป็นเเผล เเละค่อยๆซึมหายไป ช่วยรักษาอการเเผลในช่องปากได้เป็นอย่างดี

ซึ่งงานวิจัยนี้ได้ดำเนินการจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์แล้ว 2 สิทธิบัตร คือ สิทธิบัตรเรื่อง “กรรมวิธีการเตรียมสารสกัดเปลือกผลมังคุดที่มีแอลฟา-แมงโกสติน” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2557 และ สิทธิบัตรเรื่อง “สูตรตำรับยาเจลที่มีตัวยาสำคัญเป็นสารสกัดเปลือกผลมังคุดที่มีแอลฟา-แมงโกสติน” เมื่อ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2558

ทั้งนี้งานวิจัยยาเจลสกัดจากเปลือกมังคุดสำหรับรักษาแผลอักเสบในช่องปาก ไดรับรางวัลการีนตีจาก Gold Medal จาก Brussels Innova Expo 2015, ประเทศเบลเยียม เเละ Special Award “This is a Good Idea in 2015” จาก Taiwan Prominent Inventor Association ประเทศไต้หวัน

รักษาโรคร้าย…ด้วยสารสกัดชะมวงโอนที่สกัดด้วยน้ำมันรำข้าวสำหรับป้องกันโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเผยว่า ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณมากกว่า 7 ล้านคนทั่วโลก ภายในปี พ.ศ. 2563 จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 16 ล้านคน และอัตราการเสียชีวิตจะสูงถึง 10 ล้านคนทุกปี สำหรับสถิติในประเทศไทย พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเฉลี่ยราวชั่วโมงละ 7 ราย สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งมีหลายปัจจัย

รศ.ดร.ภก. ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์ พร้อมด้วยนางสาวพิรุณรัตน์ แซ่ลิ้ม และ ผศ.ดร.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์ จากสถานวิจัยความเป็นเลิศยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ สงขลา ยังได้นำงานวิจัย “ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดชะมวงโอนที่สกัดด้วยน้ำมันรำข้าวสำหรับป้องกันโรคมะเร็ง” ภายในงาน 25 ปี สกว.: สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต อีกด้วย

รศ.ดร.ภก.ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์ เผยกับ “ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” ว่า โรคมะเร็งนับเป็นโรคอันดับต้นๆ ที่เป็นสาเหตุการตายของประชากรทั่วโลก ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศที่กำลังพัฒนา ปัจจุบันถึงแม้จะมีการพัฒนายาต้านมะเร็งขึ้นมามากมายหลายขนาน แต่ก็ไม่สามารถลดอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งลงได้

นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดยังต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา จึงหันมาพึ่งพาการป้องกันโรคมะเร็งด้วยการรับประทานพืชผักผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งหรือมีสารป้องกันการเกิดมะเร็งจากธรรมชาติ

รศ.ดร.ภก.ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอาหารเพื่อสุขภาพที่ใช้ในวัตถุประสงค์ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์จากสารสกัดพืชผักผลไม้ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และฤทธิ์ในการป้องมะเร็งมาจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเท่านั้น

รศ.ดร.ภก.ภาคภูมิ เเละทีมผู้วิจัย มีความสนใจที่จะศึกษาสารต้านมะเร็งจากผักพื้นบ้านของไทย เบื้องต้นพบว่า ใบชะมวงซึ่งได้รับความนิยมนำมาประกอบอาหารในเมนู “หมูชะมวง” ให้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ดี จึงได้ศึกษาวิจัยต่อเพื่อแยกสารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งจากสารสกัดใบชะมวง

ทำให้ค้นพบสารชนิดใหม่เป็นครั้งแรกของโลก ตั้งชื่อสารชนิดใหม่ที่แยกได้จากใบชะมวงตามชื่อภาษาไทยของพืชว่า “ชะมวงโอน” (chamuangone) และจากการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง 4 ชนิด ได้แก่ เซลล์มะเร็งปอด 2 ชนิด (A549 และ SCB3 cell lines) และยับยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว 2 ชนิด (K562 และ K562/ADM cell lines) พบว่าสารชะมวงโอนมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งทั้ง 4 ชนิดได้ดี โดยมีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ 50%

แต่จากการศึกษาวิธีการสกัดสาร ทีมวิจัยพบว่า สารชะมวงโอนเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติความไม่มีขั้ว (nonpolar) สูง และจะถูกสกัดออกมาได้ดีด้วยเฮกเซน (hexane) ซึ่งเป็นตัวทำละลายอินทรีย์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาสมุนไพร จึงเป็นที่มาของผลงานนวัตกรรมชิ้นนี้ ที่ต้องการพัฒนาวิธีการสกัดสารชะมวงโอนจากใบชะมวงโดยใช้กรรมวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่ประหยัดการใช้พลังงาน ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม และ ลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากน้ำมันพืชเป็นสารที่คุณสมบัติความไม่มีขั้วคล้ายคลึงกับเฮกเซน และลดการใช้ตัวทำลายอินทรีย์ รวมถึงลดขั้นตอนการระเหยตัวทำละลายออกหลังการสกัดสาร

“คณะผู้วิจัยจึงได้ทดลองนำน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ที่ผลิตในประเทศมาใช้เป็นตัวทำละลายในการสกัดสารชะมวงโอนจากใบชะมวง โดยเลือกใช้วิธีการสกัดด้วยคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งเป็นวิธีการสกัดที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยประหยัดพลังงานและเวลาที่ใช้ในการสกัด รวมถึงทำให้ได้สารสกัดที่มีคุณภาพดีด้วย จากการวิจัยพบว่าน้ำมันรำข้าวเป็นน้ำมันพืชที่เหมาะสมที่สุดในการนำมาสกัดสารชะมวงโอน เพราะนอกจากจะสกัดสารชะมวงโอนได้ในปริมาณสูงกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นแล้ว น้ำมันรำข้าวยังมีกรดไขมันจำเป็นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี และ สารแกมมาโอรีซานอลซึ่งมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดและหัวใจ และช่วยบำรุงผิวพรรณด้วย

สำหรับกรรมวิธีการเตรียมสารสกัดชะมวงโอนจากใบชะมวงที่สกัดด้วยน้ำมันรำข้าวโดยใช้วิธีการสกัดด้วยคลื่นไมโครเวฟ กรรมวิธีการสกัดดังกล่าวทำให้ได้สารสกัดที่มีสารชะมวงโอน 1.9 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และเมื่อนำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ 3 ชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และ มะเร็งปอด พบว่าสารสกัดชะมวงโอนมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งดังกล่าวได้ดี ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 12-16 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติที่ความเข้มข้นสูงถึง 50 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร

นอกจากนี้ เมื่อนำสารสกัดไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสารสกัดที่ได้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี มีกรดไขมันในกลุ่มที่มีประโยชน์ต่อการป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสารสกัดชะมวงโอนที่สกัดด้วยน้ำมันรำข้าวสำหรับป้องกันโรคมะเร็ง ได้รับ 3 รางวัล จากการประกวดนวัตกรรมในงาน 10th International Warsaw Invention Show (IWIS 2016) ที่ประเทศสาธารณรัฐโปแลนด์ ได้แก่ 1. Gold Medal 2.Special Award (on Stage) จาก Malaysian Research & Innovation Society ประเทศมาเลเซีย 3. Special Award จาก Taiwan International Invention Award Winners Association ประเทศไต้หวัน

นับว่างานวิจัยทั้งสองนี้ สามารถสร้างประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมาก ทั้งในด้านอุตสาหกรรม เเละด้านเภสัชกรรม ทีมวิจัยคาดหวังว่า ผลงานวิจัยดังกล่าวในอนาคตจะมีผู้ประกอบการเข้ามาเพื่อช่วยต่อยอดผลิตภัณฑ์ เมื่อถึงเวลานั้นคงสร้างประโยชน์เเก่ผู้คน เเละยกระดับเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี

 

สารแคปไซซินจากพริกพิโรธ พริกที่มีความเผ็ดมากที่สุดในโลก สกัดทำยาหม่องภายใต้เเบรนด์ The gorilla

การนำเอาพืชผักสมุนไพรไทยมาทำการวิจัยเพื่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ภายในงานยังมีอีกหลากหลาย เเต่ผลงานวิจัยของนักเเสดงหนุ่มมากฝีมืออย่าง “น็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์” ที่นำเอาสิ่งที่เห็นใกล้ตัวมาต่อยอดจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ ยาหม่องภายใต้เเบรนด์ The gorilla ซึ่งชูจุดเด่นอย่างการนำสารสกัดจากพริกพิโรธมาสู่เจลหม่อง รูปทรงทันสมัย ตอบโจทย์คนในปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของการทำยาหม่องภายใต้เเบรนด์ The gorilla น็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี สปีชี่ส์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ เดอะ กอริลลา ได้ทำรายการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แล้วเจอกับอาจารย์ท่านหนึ่ง พูดคุยเรื่องเกษตรกรรม เเละได้มองว่ามีอะไรที่น่าสนใจจนมาลงเอยที่พริก พืชเผ็ดร้อนเป็นเครื่องเทศที่สำคัญ และยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรด้วยเช่นกัน

โดยสารสกัด “แคปไซซิน” มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นการขับเสมหะทำให้หายใจสะดวกขึ้น และยังมีส่วนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้ จึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในทางยาและเครื่องสำอาง

น็อต-วรฤทธิ์ เผยว่า ที่เลือกปลูกพริกพิโรธเนื่องจากได้สารสกัดมากพอ เพราะพริกพิโรธเผ็ดกว่าพริกขี้หนูถึง 50 เท่า

การจะสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาสักชิ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเริ่มจากการเข้าไปทำงานวิจัยกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ใช้เวลาทดลองวิจัยเจลหม่องจากสารสกัดของพริกพิโรธกว่า 1 ปี เมื่อได้สารสกัดจากพริกพิโรธตามที่ต้องการ

The Gorilla Gel

ได้ศึกษาเพิ่มว่าสรรพคุณของพริกช่วยในเรื่องใดบ้าง ซึ่งความเผ็ดร้อนของพริกช่วยบรรเทาอาการคันที่เกิดจากแมลงกัดต่อย จึงอยากทำเป็นเจลสูดดม เพราะขณะนั้นมีเจ้าตลาดอยู่ไม่มาก

การศึกษาจุดเเข็ง จุดอ่อน ทำให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับยุคสมัย “เดอะ กอริลล่า” เจลหม่องที่ใช้ทา สูดดม ได้ในตลับเดียวกัน บรรเทาอาการถูกเเมลงกัดต่อยได้ดี สามารถใช้ทาลงบนผิวเเละจะไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ เจลหม่องจะซึมลงสู่ผิว ด้วยเเพ็กเกจจิ้งสีสันสดใส มีรูปการ์ตูนกอริลล่า ตอบโจทย์คนทันสมัย

The Gorilla Gel

งานวิจัยทั้ง 3 อย่าง เป็นตัวอย่างงานวิจัยจากงานครบรอบ 25 ปี สกว.: สร้างคน สร้างความรู้ สร้างอนาคต จัดขึ้นเพื่อสื่อสาร กระบวนการคิด วิธีทำงานเเละผลวิจัย ความร่วมมือกับภาคีวิจัยเเละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนงานวิจัย

…เรียกได้ว่า ความสำคัญของงานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ คาดหวังว่าในอนาคตวิจัยไทยจะออกมาสู่ท้องตลาดมากขึ้น ไม่ถูกจัดเก็บวางไว้บนหิ้ง เเละเป็นเเรงสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป