“อองตวน ปินโต” กับบทบาทพิธีกร The Face Thailand 5…“กดดัน คือ ต้องพัฒนา”

หากพูดถึงนักมวยหมัดหนัก ที่เป็นลูกครึ่งและมีดีที่หน้าตา มีขวัญใจเป็นนางเอก สาวตาคมหน้าหวานแห่งวิกน้อยสี ย่านพระราม4 ที่ชื่อว่า ชิปปี้ ก็คงรู้เลยว่าหนุ่มคนนั้นคือ “อองตวน ปินโต ” นักมวยที่มีความสามารถมากกว่า แลกหมัดจนสามารถก้าวมาสู่วงการบันเทิง เป็นนายแบบ และพิธีกรรายการเรียลลิตี้ชื่อดัง THE FACE THAILAND 5 หลังจากที่เคยเปิดซิงงานพิธีกรครั้งแรกในรายการ THE FACE MEN THAILAND 2 มาแล้ว ท่ามกลางกระแสและการจับตาในบทบาทของเขา  “ผ่านไหม…ถาม (ใจ) ดู เพราะการคัมแบ็คครั้งนี้ หนุ่มหมัดหนักบอกว่า “ไม่กดดันแต่ดีใจมากกว่าและขอพัฒนาให้เต็มที่”

ถูกจับตามองกับการเป็นพิธีกร THE FACE THAILAND 5 กดดันมั้ย?

คำถามแรกที่พุ่งใส่ พิธีกรหนุ่มหล่อ อองตวน ปินโต เมื่อได้คุยกัน ซึ่งหนุ่มอองตวนได้บอกกับเราว่า “หากพูดถึงความกดดัน คงไม่มี แต่ขณะเดียวกันรู้สึกดีใจมากกว่าได้กลับมารับหน้าที่พิธีกรอีกครั้ง เพราะครั้งแรกใน THE FACE MEN THAILAND 2 ยอมรับไม่เก่ง แต่ก็ได้พยายามพัฒนาให้เต็มที่ ยอมรับหลังจบซีซั่นแอบคิดว่าจะได้กลับมาทำหรือเปล่า หรือควรเป็นคนอื่นหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามก็พัฒนาตัวเองต่อ และสุดท้ายก็ได้รับโอกาสซึ่งก็ดีใจมาก และเชื่อว่า สิ่งที่เราพัฒนาตนเองมาตลอดคนอื่นรับรู้ได้ และถึงวันนี้ก็อยากที่จะพัฒนาตนเองต่อไปอีกเรื่อยๆ

ความกดดันใน THE FACE THAILAND 5 กับ THE FACE MEN THAILAND 2 ต่างกันยังไง ?

“ความกดดันการเป็นพิธีกรครั้งแรก เราอยู่ในกลุ่มทำงานกับคนที่พลังเยอะมากอย่าง พี่พิม ซอนย่า พี่ลูกเกด พี่หมู พลังของพวกพี่เขาจะเยอะมาก เราก็ยากที่จะรับมือให้อยู่ แต่พอมาในซีซั่นนี้เมนเทอร์รุ่น ๆ เดียวกัน ความกดดันในการรับมือยังพอไหว แต่เราต้องมากดดันเรื่องของตัวตนเราเองที่รายการอยากให้เราดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เพราะรายการก็ต้องการให้สนุกมากขึ้น มีมีติมากขึ้น ก็เป็นความกดดันอีกแบบหนึ่ง”

ซีซั่นนี้ฝึกหนักมาก?

หลาย ๆคน อาจเห็นว่าใน THE FACE THAILAND 5พิธีกรหนุ่มหล่อมีการโต้ตอบกับเมนเทอร์มากขึ้นเรื่องนี้หนุ่มอองตวนบอกว่า “ซีซั่นนี้รู้สึกเป็นตัวของตนเองมากและเรามีไปฝึกฝนการพูดมาพอสมควร หัดออกเสียงมากขึ้น จึงทำให้เรากล้าที่จะพูด

THE FACE THAILAND 5 ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ

การรับหน้าที่เป็นพิธีกรที่มีผู้เข้าแข่งขันทั้งผู้ชาย ผู้หญิง มีความแตกต่างกัน กลับมาทำงานครั้งนี้สนุกมากเรามีสาวสวยให้มองตลอดเวลาก็เป็นการทำงานที่มีความสุข ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำงานที่ยาก ตอนเราทำงานกับผู้ชายก็เป็นพี่น้องเพื่อน แต่ทำงานกับผู้หญิงก็ต้องวางตัวอีกแบบยากง่ายแตกต่าง แต่ก็สนุกมาก  และในฐานะที่เป็นพิธีกร มองซีซั่นนี้เปิดทุกเพศเป็นเรื่องที่ดีเพิ่มความหลากหลาย สำหรับคนดูก็อาจจะมองว่าแปลก เราเคยดูรายการแบบหนึ่งแต่ตอนนี้เป็นอีกแบบหนึ่งก็ต้องมองว่าแปลก อย่างซีรีย์เป็นพระเอก เราก็ไม่อยากดูละ หรือเรียลลิตี้โชว์เปลี่ยนกติกา เราก็มองว่าไม่ชินไม่ชอบ ไม่ดูก่อน แต่เรามองว่าตรงนี้เป็นสิ่งดีเพิ่มโอกาสให้กับคนที่หลากหลายขึ้น มันเป็นสิ่งที่เราควรสืบทอดในสังคม ทุกคนเท่าเทียมกัน ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่สำคัญเป็นอะไรก็ได้ถ้ามีความพยายามมีความสามารถ

จะทำงานในวงการบันเทิงนานแค่ไหน

สมัยก่อนผมคิดตลอดว่างานส่วนมากเข้ามาเพราะยังมีชื่อเสียงเป็นนักมวย มีงานเข้ามา บอกตรงๆ งานในวงการที่เข้ามา ถ้าผมไม่มีชื่อเสียงชกมวย งานในวงการก็คงหาย เพราะผมไม่มีฝีมือด้านนี้เลย หรือว่าผมไม่ควรอยู่ในวงการบันเทิงด้วยซ้ำ ที่อยู่ได้เพราะผมมีชื่อเสียงด้านอื่นๆ อยู่ที่เราได้มาเป็นพิธีเราก็รู้สึกว่าชอบมากขึ้น คล่องมากขึ้น เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราชอบตรงนี้ อาจจะเป็นงานของเราต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีชื่อเสียงในการชกมวย เราอาจจะเป็นพิธีกร ถ้าเราทำต่อได้เราก็อยากทำต่อ จริงๆ ตอนนี้มีหลายงานเข้ามา มีหนัง ซีรีย์ มีงานแสดงเข้ามา ดีใจได้ลองทำอะไรใหม่ ๆเรามองว่าทุกงานทำให้เราได้เปิดมุมมองใหม่ๆ เราได้ชาร์เลนจ์กับตัวเอง มีมุมมองกับตัวเองมากขึ้น เรารู้สึกเราเก่งขึ้น