
ในเวลาไม่กี่ปี “ออฟ สมิธ” ศิลปินชาวไทยได้สร้างฐานแฟนคลับมากมายทั้งนักสะสมและศิลปินแนว Lowbrow ในเมืองไทยและต่างประเทศ
ออฟ สมิธ เป็นหนึ่งในศิลปินไทย ที่ได้ตีพิมพ์ผลงานในนิตยสาร และเว็บไซต์แสดงงานศิลปะชื่อดังของนิวยอร์ก เช่น ปกนิตยสาร Direct Art, นิตยสาร Hidden Treasure Art, นิตยสาร Year Book of 2557 และ Visual Artistry
นอกจากนี้ยังร่วมแสดงงานร่วมกับศิลปินต่างชาติที่แกลอรี่ในสหรัฐอเมริกา
เป็นหนึ่งในศิลปินไทยที่น่าจับตา และยังเป็นผู้นำในการวาดภาพสีน้ำมันแนว Lowbrow Art
ผลงานของ ออฟ สมิธ ได้รับอิทธิพลจาก Pop-Surrealism ชาวอเมริกัน ที่ยังมีบรรยากาศดั่งหลุดเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกยามฝันของศิลปินแนวเหนือจริง (Surreal) ผสมผสานกับการหยิบยกประเด็นความตื้นเขินของสังคมบริโภคในปัจจุบันแบบ ป๊อปอาร์ต (Pop art) มาเกี่ยวข้อง
ผลงานล่าสุดของเขาถูกถ่ายทอดผ่านนิทรรศการ Silent Ravage ความพินาศอันเงียบสงัด ผ่านการเล่าเรื่องโดยมีภาพวาด สีน้ำมัน และ สีอะครีลิค และประติมากรรม แนว Lowbrow Art ที่จะสร้างบรรยากาศสถานการณ์ความตึงเครียดให้ได้ลุ้นระทึกกันในสไตล์ของ ออฟ สมิธ
กว่าจะก้าวมาสู่ความเป็นศิลปินแนว Lowbrow เต็มตัวอย่างที่เห็น ออฟ สมิธ เดินทางผ่านช่วงเวลา และประสบการณ์ที่หลากหลาย
“ผมเริ่มจับงาน Pop Surrealist จริงๆ ในช่วงที่เรียน ปี 3 มันเกิดจากผมไปเจองานๆ หนึ่งซึ่งตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร Juxtopoz แล้วรู้สึกว่าชอบมาก มันมีความตลกร้าย ที่ซ่อนอยู่ในงาน เราชอบแก๊กแบบนี้ จากนั้นผมจึงเริ่มหัดวาด ศึกษา และฝึกฝนตัวเองมาเรื่อยๆ ผสมกับงานของพี่ประทีป (ประทีป คชบัว) และพี่ปาล์ม (ปรียวิศว์ นิลจุลกะ) ที่อยู่ในความสนใจในช่วงนั้น”
เขาลำดับย้อนไปถึงผลงานแรกๆของตัวเองว่า…
“เนื้อหาโหดมากนะ เป็นเรื่อง Sex เรื่องโลกของชีวิตคนกลางคืน”
จากความโหดมาสู่ “ความรัก”
“มาเปลี่ยนตอนที่เรียนปริญญาโทที่เริ่มมีเรื่องความรัก สะท้อนสังคมซึ่งมีความละมุนขึ้น จนมาถึงตอนนี้ ที่ผมเน้นเรื่องสัตว์เป็นพิเศษ เอาจริงๆ ผมไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลยนะ เคยคลุกคลีตอนเด็กๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจอีก ผมว่าชีวิตผมในตอนนี้ยังไม่เหมาะจะมีสัตว์เลี้ยง ผมคงมีเวลาให้มันไม่เพียงพอ และก็ไม่อยากเลี้ยงโดยการขังเขาไว้ในกรง หรือล่ามไว้ตลอดเพียงเพราะผมไม่มีเวลาใส่ใจมัน”
“ในงานนิทรรศการ Silence Ravage-ความพินาศอันเงียบสงัด เราพูดถึงโมงยามของสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และสัตว์ แสดงออกด้วยสีสันที่สดใส ตัวละครน่ารักๆ อย่างเด็กผู้หญิง และสุนัข ซึ่งผมกำลังหยอกล้อกับความคิดของคน ที่แรกมองภาพจะเห็นเพียงความสวยงามแต่จริงๆ แล้วมันซ่อนความเจ็บปวดอยู่ในภาพเหล่านั้น”ออฟ สมิธอธิบายถึงรายละเอียด
สำหรับงานนิทรรศการครั้งนี้ประกอบไปด้วยภาพวาดสีน้ำมัน จำนวน 20 ชิ้น และประติมากรรม ไฮไลท์ 1 ชิ้น ใช้เทคนิคสีน้ำมันสะท้อนแสง ซึ่งยังไม่มีศิลปินไทยคนไหนใช้
โดยชิ้นงานไฮไลท์ขนาดใหญ่ จะเผยให้สัมผัสถึงวินาทีแห่งการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับสัตว์ กล่าวคือ สะท้อนนัยยะสำคัญของการ “การทารุณกรรม” สัตว์จากมนุษย์ผู้เรียกตัวเองว่า “เจ้าของสัตว์เลี้ยง”
ผลงานในนิทรรศการนี้ มีการนำสีสันจัดจ้านที่ช่วยดึงความกลมกล่อมทางสายตา รวมทั้งใส่พลังและเทคนิคหลากหลายเข้าไปในงาน โดยใช้สีพิเศษที่หายากเข้ามาเพื่อเพิ่มมิติและความลุ่มลึกในโลกแฟนตาซีของเขาอีกด้วย
“เฟอรี่” ตัวละครที่มักจะปรากฏตัวอยู่ในงานของ ออฟ สมิธ คือสัตว์ที่ดูคล้ายคลึงระหว่างสุนัข บูลด็อก กับ กระต่าย ได้รับหน้าที่เป็นตัวละครชูโรงในบทบาทอันสำคัญที่จะลุกขึ้นสู้กับมนุษย์
แม้เบื้องต้นงานของ ออฟ สมิธ จะดูน่ารักและขี้เล่นแต่ผลงานชุดนี้ได้หยิบยกประเด็นการทารุณสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงออกมาขยายความ
ยกตัวอย่างในประเทศไทยเอง การที่ผู้คนเพาะพันธ์ปลากัด หรือ ไก่ เพื่อนำมาสู้กันเพียงเพื่อสนองความสนุกจากกีฬาเรียกเลือด ก็ไม่ต่างอะไรกับการกดขี่บังคับยัดเยียดความดุร้ายและความเจ็บปวดให้กับสัตว์เหล่านั้น หรืออย่างในสัตว์บางชนิด เช่นสุนัข ก็ยังถูกเพาะพันธ์โดยนำเอายีนส์ด้อยหรือเชื้อต่างๆ มาผสมกันเพื่อให้ได้มาซึ่ง สุนัขหน้าย่น ตัวสั้น เพื่อความน่าเอ็นดู
สำหรับเราหากแต่สุนัขเช่นพันธ์นี้ กลับต้องทุกข์ทรมานกับปัญหาด้านผิวหนัง หรือปัญหาในการหายใจไปตลอดชีวิต ยังมีสัตว์อีกหลายชนิดนักที่ต้องทนทรมานกับการโดนทารุณจากเจ้าของที่ไม่ใส่ใจและในหลาย ครั้งการทารุณเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นโดยที่เจ้าของก็ไม่ได้รับผลกระทบหรือบทลงโทษจากการกระทำนั้นเลย
นิทรรศการ Silent Ravage -ความพินาศอันเงียบสงัด- คือโลกในจินตนาการของ ออฟ สมิธ โลกซึ่งสัตว์เหล่านี้พร้อมใจกันลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับผู้คนที่กระทำความทารุณต่อสัตว์ ผ่านการเล่าเรื่องโดยมีภาพวาด สีน้ำมัน และ สีอะครีลิค และประติมากรรม ที่รายละเอียดในทุกตารางนิ้ว คือเครื่องยืนยันว่าออฟ สมิธ คือศิลปินแนวหน้าในสาย Pop-Surrealism คนหนึ่งของประเทศไทย
ทั้งนี้ พิธีเปิดนิทรรศการ จัดขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา และนิทรรศการ ความพินาศอันเงียบสงัด ยังจัดแสดงจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2560 ที่หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซนเตอร์
ความคลั่งไคล้ในเสื้อผ้ามือสอง
นอกเหนือจากงานวาดภาพ ออฟ สมิธ ยังมีอีกแง่มุม ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือความคลั่งไคล้ในของมือสอง
“ตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้ามือสองแล้วครับ เรียกว่าสะสมมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อเลย โดยเฉพาะเสื้อยุค 70s และ 80s Western, Cowboy, Romeo, เสื้อทัวร์ ฮาร์เล่ย์ เดวิสันบ้าง และเสื้อวินเทจผู้หญิงสไตล์ Boho ซึ่งผมจะเลือกเฉพาะเสื้อผ้าที่ราคาไม่แพงนัก ผมว่าเสื้อผ้ามือสองมันคือตัวแทนประวัติศาสตร์นะ มันถูกผลิตมาแค่นั้นแล้วไม่ผลิตซ้ำอีก และมันมีประวัติของมัน ว่าผลิตมาเพื่ออะไร เช่น รองเท้าบางคู่ ที่ผลิตออกมาสำหรับคนที่เท้าขนาดพิเศษ หรือเสื้อยืดที่ยุคหนึ่งเป็นผ้า Cotton 50 หรือเย็บตะเข็บเดี่ยว และถ้าให้พูดเรื่องความเซียนในเสื้อผ้ามือสอง ผมว่าผมเห็นแค่ตะเข็บเสื้อ หรือขอบสกรีน พมก็สามารถบอกได้เลยนะว่ามาจากยุคไหน”
“ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนผมเป็นแค่นักดนตรีตามผับธรรมดา ทำวงดนตรีแนว Metal Core เป็นเด็กผู้ชายที่คลั่งพวกของมือสอง เก็บเสื้อวง เล่นสเก็ตบอร์ด ตามแพทเทิร์นของเด็กวัยรุ่นในยุค 90s ผมเคยผ่านช่วงชีวิตในจุดที่ต่ำที่สุด จนมาถึงในจุดที่ดีกว่าเดิมด้วยการทำงานศิลปะ ผมไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมเป็นคนขยันมาก มันเกิดจากผมอยากจะเอาชนะตัวเองด้วย เพราะตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่วาดรูปได้ห่วยที่สุดในบ้าน เป็นลูกคนเล็กที่จ่อยที่สุด ผมเลยอยากจะเก่งขึ้น เพื่อตัวเองและเพื่อให้คุณพ่อชม”
“ผมเชื่อในสิ่งที่เป็นอยู่ว่ามันจะต้องเป็นอาชีพได้ ด้วยการไม่ถูกว่าจ้างให้ทำงาน แต่เป็นคนที่ทำงานตามในสิ่งที่ตัวเองคิดและอยากทำมาตลอด ผมจึงเคารพมัน และต้องมีวินัย ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องตัดบางสิ่งที่รักไปบ้างอย่างการเล่นดนตรี หรือการออกไปพบปะเพื่อฝูง เพราะว่าเราได้เรียงลำดับชีวิตแล้วว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรา”