การตลาดแบบ “อีฟแอนด์บอย” ราคาถูกจริตผู้บริโภค…แลกมาด้วยเสียงวิจารณ์!?

เป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่สร้างแรงกระเพื่อมกับวงการเครื่องสำอาง หลังจากที่ “อีฟแอนด์บอย” ร้านมัลติแบรนด์ศูนย์รวมเครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม ไอเทมจากทั่วทุกมุมโลก ส่งโปรโมชั่นเด็ดมัดใจลูกค้าที่ 1 ปีมีครั้ง ลดราคาถึง 90 เปอร์เซ็นต์ “EVEANDBOY Shocking Pink Day” ไปเมื่อ 3-6 พ.ย.60

แต่โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากเหล่าสาวกวงการบิวตี้ที่มาต่อคิวบริเวณสยามเพื่อรอเข้าร้านอีฟแอนด์บอยที่เป็นแฟลกชิปสโตร์สสาขาสยามแสควร์ วัน ถึงความ “ไม่แฟร์” และเรื่องของ “ระบบการจัดการ” ที่ทำให้เกิดปัญหาต่อคิวนาน แต่สุดท้ายไม่ได้ของที่ต้องการ หรือของที่จัดโปรโมชั่นหมดตั้งแต่คิวแรกๆ รวมถึงปัญหาที่มีมาตลอดตั้งแต่เปิดสาขาต่างๆ มาคือเรื่องของ “การให้บริการของพนักงาน” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากขาช้อปตามโลกโซเชียลมีเดียอยู่หลายครั้ง และล่าสุดกับการถูกวิจารณ์หนักหน่วงถึง การบริหารจัดการเมื่อจัดโปรโมชั่น (อ่านข่าวที่นี่)

ล่าสุดทางร้านได้ออกจดหมายชี้แจง และขออภัยต่อกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

…คำถามที่ตามมาคือแล้วทำไมถึงมีผู้บริโภคยังคงให้ความสนใจ และยังเลือกซื้อเครื่องสำอางที่ร้านดังกล่าว อะไรที่เป็นสิ่งที่ “อีฟแอนด์บอย” ทำการตลาดเข้าถึงลูกค้าได้มากขนาดนี้

คำตอบที่มองเห็นภาพที่ชัดเจนคือเรื่องของ “ราคา” ที่ถูกกว่าท้องตลาด ผู้บริโภคจับต้องได้ พร้อมกับทำโปรโมชั่นใหม่ๆ ออกมาตลอดหมุนเวียนทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น ซื้อ 1 แถม 1 และส่วนลดตั้งแต่ 15 เปอร์เซ็นต์

แฟ้มภาพ: อีฟแอนด์บอยสาขาสยาม (สาขาแรกในกรุงเทพฯ) เมื่อก.พ.2559

“หิรัญ ตันมิตร” ผู้บริหารอีฟแอนด์บอย เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับประชาชาติธุรกิจเมื่อเดือนกันยายนว่า สิ่งสำคัญที่จะเข้ามาสร้างความแตกต่างให้กับร้านอีฟแอนด์บอย คือการจับมือกับคู่ค้านำเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ ซึ่งมีสัดส่วนราว 20-30 แบรนด์ในปัจจุบันเข้ามาจำหน่ายในร้าน

และโฟกัสกับเครื่องสำอางในกลุ่มเคาน์เตอร์แบรนด์เพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปด้วย โดยใช้กลยุทธ์ตั้งราคาขายต่ำกว่าโดยคิดมาร์จิ้นแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เคาน์เตอร์แบรนด์เองคิดที่ 30 เปอร์เซ็นต์

นอกจากราคาที่ถูกจริตผู้บริโภคแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากเหล่าขาช็อปนั้น คือ มาที่นี่มีครบทุกอย่างที่ต้องการ ตั้งแต่สินค้าราคาหลักสิบ ไปจนถึงลักเซอรี่แบรนด์ โดยไม่ต้องเดินหาซื้อสินค้าจากที่อื่นให้ยุ่งยากอีก

ขณะเดียวกันเรื่องของ “ทำเล” สถานที่ของร้านเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่อีฟแอนด์บอยเลือกใช้ โดยมีสาขาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ผู้บริโภคเดินทางมาเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก รวมทั้งรุกตลาดเข้าไปอยู่ในห้างสรรพสินค้าอีกด้วย

ถึงแม้ว่า ราคา และทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจะถูกใจสาวกวงการบิวตี้มากเพียงใด แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจคือ “การบริการที่ดี” ที่จะสามารถมัดใจลูกค้า ให้กลับมาใช้บริการอีกครั้งนั่นเอง

ครั้งหน้า “อีฟแอนด์บอย” จะทำการตลาดทำโปรโมชั่นแบบไหน สร้างภาพลักษณ์มุมบวกให้กับลูกค้าอย่างไร ถึงจะสามารถลดเสียงวิจารณ์อย่างหนักหน่วงในครั้งนี้ไปได้ ต้องติดตาม….

ทั้งนี้ “อีฟแอนด์บอย” ปัจจุบันมี 10 สาขา โดยสาขาแรกอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม ดำเนินการมากว่า 10 ปี และเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ ที่สยามแสควร์ เมื่อปี 2555