อังกฤษ ทะเลาะ รัสเซีย กระทบบอลโลก 2018

อาฮุย แผ่นดินใหญ่ : เรื่อง

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนสำหรับแฟนลูกหนังที่รอคอยมหกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาลอย่างฟุตบอลโลก

ตามปกติแล้ว ยิ่งใกล้นัดเปิดสนามเท่าไหร่บรรยากาศจะยิ่งคึกคัก แต่สำหรับปี 2018 ที่มีรัสเซียเป็นเจ้าภาพกลับไม่ได้มีบรรยากาศน่าตื่นตาตื่นใจมากนัก สภาพทั่วไปกลายเป็นความลุ้นระทึกไปเสียมากกว่า

บรรยากาศฟุตบอลโลก 2018 กลับกลายมาเป็นสถานการณ์ตึงเครียด เมื่อนายเซอร์เกย์ สกรีพัล อดีตสายลับรัสเซียซึ่งเป็นสายลับสองหน้าจากที่ทำงานให้หน่วยข่าวกรองอังกฤษด้วยจนต้องมาลี้ภัยในแดนผู้ดี ถูกพบว่าหมดสติในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในอังกฤษพร้อมกับลูกสาว จนถึงขณะนี้ทั้งคู่ยังอยู่ในอาการโคม่า

ทางการอังกฤษแถลงว่า นายเซอร์เกย์ และลูกสาว ได้รับสารเคมีทำลายระบบประสาทชนิดร้ายแรง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านความมั่นคงในอังกฤษให้ข้อมูลว่า สารพิษชนิดนี้ถูกใช้ในกองทัพรัสเซีย แม้รัสเซียจะปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ แต่ทางการอังกฤษยังเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีรัสเซียเป็นผู้รู้เห็นอย่างแน่นอน

มาตรการตอบโต้ของอังกฤษคือ ขับเจ้าหน้าที่การทูตของรัสเซียออกจากสหราชอาณาจักรไปจำนวนหนึ่ง และระงับการติดต่อในระดับสูงกับรัสเซีย ซึ่งฝั่งดินแดนหมีขาวก็โต้ตอบด้วยมาตรการเดียวกัน คือสั่งผลักดันทูตอังกฤษออกจากรัสเซีย

ชาติอื่นในยุโรปอีกหลายแห่งรวมถึงสหรัฐอเมริกาก็ร่วมเดินตามแนวทางของสหราชอาณาจักร พร้อมใจกันขับเจ้าหน้าที่การทูตรัสเซียออกจากประเทศ พร้อมประกาศจุดยืนไม่นำตัวแทนรัฐบาลหรือผู้นำระดับสูงของประเทศเข้าร่วมฟุตบอลโลกที่รัสเซีย

นอกเหนือจากอังกฤษที่จะไม่มีทั้งตัวแทนจากราชวงศ์และผู้แทนรัฐบาลเข้าร่วมฟุตบอลโลก 2018 โปแลนด์ และไอซ์แลนด์ เป็นอีก 2 ประเทศที่ประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินการตามรอยอังกฤษด้วยการไม่ส่งตัวแทนรัฐบาลเข้าร่วมเวิลด์คัพปีนี้

ความตึงเครียดครั้งนี้คือมาตรการทางการทูตต่อรัสเซียที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น หรือภาพที่ย้อนกลับไปสำหรับวงการกีฬาคือการบอยคอตโอลิมปิกที่มอสโก เมื่อปี 1980 ยุคที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต ซึ่งสหรัฐอเมริกาพร้อมประเทศอีกกว่า 60 แห่งไม่ได้ส่งนักกีฬาแข่งขันโอลิมปิกจากเหตุการณ์โซเวียตโจมตีอัฟกานิสถาน

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลกันคือ แนวโน้มการยกระดับบอยคอต จากไม่ส่งตัวแทนรัฐบาลหรือบุคคลสำคัญมาร่วมชมฟุตบอลโลก กลายเป็นไม่ส่งทีมนักเตะเข้าแข่งขันด้วย โดย จูลี บิชอป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ขับทูตรัสเซีย (ที่ทางการอ้างว่าต้องสงสัยจะเป็นสายลับ) ออกจากเมื่องแคนเบอร์รา และขู่ว่าทางเลือกการดำเนินการต่อรัสเซียร่วมกับชาติพันธมิตรอย่างการบอยคอตก็อยู่ในระดับที่สามารถหยิบมาพิจารณาได้

อาจเป็นข้อดีเล็กน้อยที่ทีมชาติสหรัฐอเมริกาไม่ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอยู่แล้วจึงไม่ได้มีมาตรการในระดับนี้ แต่สำหรับชาติอื่นที่ประกาศไม่ส่งตัวแทนรัฐบาลร่วมฟุตบอลโลกอย่างโปแลนด์ หรือชาติอื่นที่มีแนวโน้มประกาศตามกันมาอย่างสวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก และญี่ปุ่น ก็ถือว่าน่าคิดสำหรับผลกระทบต่อบรรยากาศเวิลด์คัพครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเชื่อว่าโอกาสที่ประเทศชั้นนำในยุโรปและเอเชียจะดำเนินการถึงขั้นไม่ส่งทีมนักเตะไปแข่งเลยยังไม่น่าเป็นไปได้ นอกเหนือจากเกิดเหตุรุนแรงหรือมีแนวโน้มเกิดอันตรายต่อแฟนบอลอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้นถึงจะเพียงพอต่อการเสี่ยงถอดทีมออกจากมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีอิทธิพลมากที่สุดทั้งแง่สถานะต่อประชาคมโลกไปจนถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดในประเทศจากการบริโภคเกมลูกหนัง

ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระดับสูงยังส่งผลกระทบกระเทือนต่อบรรยากาศและความปลอดภัยของแฟนบอลตามไปด้วย ก่อนที่จะมีประเด็นนี้ หลายประเทศแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของแฟนบอลมาก่อนแล้ว ถ้ายังจำกันได้ในรายการยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศส แฟนบอลอังกฤษเคยปะทะกับแฟนบอลรัสเซียจนมีแฟนบอลอังกฤษรับบาดเจ็บสาหัสมาแล้ว

ยิ่งเมื่อเกิดความขัดแย้งล่าสุด แฟนบอลที่จองตั๋วพร้อมเดินทางไปเชียร์ทีมรักหรือสัมผัสบรรยากาศมหกรรมลูกหนังยิ่งใหญ่อาจเสี่ยงต่อบรรยากาศไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะสำหรับแฟนบอลอังกฤษซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับเจ้าภาพรัสเซีย สื่ออังกฤษสำรวจแผนเดินทางของแฟนบอลพบว่า บางรายต้องเปลี่ยนแผนเดินทางกันบ้างแล้วเพื่อเลี่ยงความเสี่ยง

สถิติแฟนบอลอังกฤษที่ถือตั๋วฟุตบอลโลกที่รัสเซียจนถึงต้นเดือนเมษายนรวมแล้วมี 3 หมื่นใบ น้อยกว่าเมื่อครั้งฟุตบอลโลกที่บราซิลซึ่งแฟนบอลอังกฤษกำตั๋วรวมแล้วมากกว่า 9 หมื่นใบ เชื่อว่าในเกมแข่งของทีมยุโรป อาจเห็นบรรยากาศในสนามที่แตกต่างจากกระแสความนิยมในช่วงก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร

นอกจากจะต้องรับมือความเสี่ยงเรื่องการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ในรัสเซีย แฟนบอลยุโรปยังอาจต้องรับความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยจากบรรดาแฟนบอลฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย แต่หน่วยงานรัฐบาลเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างตำรวจอังกฤษกับรัสเซีย ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ยังราบรื่นพอสมควร จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คลายกังวลได้ระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วแฟนบอลยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าเรื่องราวครั้งนี้จะไปสิ้นสุดอย่างไร