ส่องรายได้บริษัท ไทยลีก วันที่สโมสรอยากแยกตัว พร้อมย้อนรอยโมเดลต้นแบบของพรีเมียร์ลีก

ไทยลีก
ภาพจาก Thai League

กระแสในวงการฟุตบอลไทยช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องสโมสรในไทยลีก 1 ลงมติอยากแยกตัวออกมาจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และบริษัท ไทยลีก เพื่อจัดการแข่งขันกันเอง เกิดเป็นคำถามอีกครั้งว่าฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต

ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเมื่อ 2 ปีก่อน เคยมีการตีปี๊บมาแล้ว หลังมูลค่าการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลลีก ฤดูกาล 2023-24 ถึง 2026-27 เหลือเพียงแค่ 50 ล้านบาท จากระดับพันล้าน พร้อมยกโมเดลที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เคยทำ

“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนย้อนรอยการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ที่ครั้งหนึ่งบรรดาสโมสรได้รวมกันเพื่อแยกตัวออกมาจากการบริหารจัดการภายใต้สมาคมฟุตบอลอังกฤษ เพื่อผลประโยชน์ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย นำมาซึ่งรายได้มหาศาล พร้อมกลับมาดูสถานการ์ของไทยลีกในปัจจุบัน วันที่ “บริษัท ไทยลีก จำกัด” ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี

ย้อนรอยโมเดลแยกตัวของพรีเมียร์ลีก

การก่อตั้งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต้องย้อนกับไปถึงปลายทศวรรษ 1980 ที่ฟุตบอลอังกฤษยังคงมีความเป้นท้องถิ่น ทั้งนักธุรกิจเจ้าของสโมสร และการสนับสนุนทีมต่าง ๆ การทำกำไรจากฟุตบอลจึงขึ้นอยู่กับชนชั้นแรงงานที่เข้าไปชมเกมในสนามอย่างล้นหลามในช่วงบ่ายวันเสาร์ ซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่มักยืนชมเกม ฝูงชนที่แออัดจำนวนมากจึงทำให้บรรยากาศตึงเครียดในบางครั้ง

ฟุตบอลที่เปรียบเสมือนกีฬาประจำชาติของอังกฤษเริ่มเสื่อมถอยลง จากกลุ่มแฟนบอลอันธพาลหรือพวกนักเลงที่ถูกเรียกว่า “ฮูลิแกน” ซึ่งมักจะก่อเหตุความวุ่นวาย ความรุนแรง และการทะเลาะวิวาทอยู่เสมอ ในช่วงเวลาที่การแข่งขัน

กลุ่มฮูลิแกนไม่เพียงแต่สร้างความวุ่นวายสำหรับการแข่งขันในประเทศเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงประเทศรอบ ๆ เมื่อทีมจากังกฤษต้องเดินทางไปเยือนเกมยุโรป ทำให้ชาติยุโรปต่างเอือมระอา และมองว่าฟุตบอลอังกฤษคือเบ้าหลอมของพวกอันธพาล

ในที่สุด โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปียน คัพ ระหว่าง “ลิเวอร์พูล” กับ “ยูเวนตุส” ที่สนามเฮย์เซล สเตเดี้ยม ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อปี 1985 การควบคุมฝูงชนที่ไม่ดีส่งผลให้เกิดการจลาจลโดยกลุ่มฮูลิแกนของลิเวอร์พูลในสนามกีฬา เป็นเหตุให้แฟนบอลของทั้งสองทีมเสียชีวิตกว่า 39 คน ทำให้สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษถูกห้ามไม่ให้เล่นฟุตบอลในยุโรป 5 ปี หลังเหตุการณ์นี้ ซึ่งถูกเรียกว่า “โศกนาฏกรรมเฮย์เซล”

ADVERTISMENT

เหตุการณ์ในครั้งนี้นำไปสู่การจัดการกับกลุ่มฮูลิแกนอย่างจริงจังในระดับรัฐบาล โดย “มาร์กาเรต แทตเชอร์” (Margaret Thatcher) นายกรัฐมนตรีอังกฤษขณะนั้น กล่าวว่า “เราต้องกำจัดคราบมลทินต่อชื่อเสียงของเราให้หมดสิ้น”

ผลกระทบที่ตามมาจากกลุ่มฮูลิแกน ทำให้นักเตะชั้นนำของโลกส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะมาค้าแข้งในอังกฤษ เคราะห์ซ้ำยังมาเกิด “โศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่” เมื่อปี 1989 ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพระหว่างลิเวอร์พูลกับ “น็อตติงแฮม ฟอเรสต์” ทำให้แฟนบอลเสียชีวิต 96 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 150 ราย ทำให้แฟนบอลจำนวนมากเริ่มขยาดการเข้าชมเกมในสนาม และสโมสรต่าง ๆ ต้องทำสนามแบบใหม่ที่มีเก้าอี้บนอัฒจันทร์

สโมสรชั้นนำในลีกสูงสุดเริ่มไม่พอใจเนื่องจากต้องเผชิญต้นทุนการดำเนินการที่สูงและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเมื่อไม่สามารถหานักเตะคุณภาพมาค้าแข้งได้ อีกทั้งยังต้องแบ่งค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ให้ดิวิชั่นอื่น ๆ อีก เพราะลีกอยู่ภายใต้ความดูแลของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA)

ก่อนปี 1986 สโมสรในลึกสูงสุด หรือ ดิวิชั่น 1 ได้รับเงินจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เพียงปีละ 25,000 ปอนด์ โดยเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ปอนด์ในปี 1986 จากการต่อรองกับสมาคมฯ และเป็น 600,000 ปอนด์ ในปี 1988 แต่บรรดาสโมสรต่าง ๆ รู้สึกว่าควรได้รับมากกว่านี้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สโมสรในอังกฤษและวงการกีฬาจะต้องปรับโครงสร้างใหม่โดยสิ้นเชิง เพราะค่าลิขสิทธิ์คือเม็ดเงินก้อนใหญ่ในการพัฒนาธุรกิจ

จนกระทั่ง สมาชิกผู้ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกที่ถูกเรียกว่าเป็น “Big 5” อันประกอบด้วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เอฟเวอร์ตัน, อาร์เซนอล และท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ได้ลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1991 ส่งผลให้พรีเมียร์ลีกเจรจาการถ่ายทอดสดและการสนับสนุนได้อย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับสมาคมฟุตบอล (FA) และลีกระดับอื่น ๆ โดย “พรีเมียร์ลีก” ก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัท จำกัด ในเวลา 3 เดือนหลังจากที่สโมสรในดิวิชั่น 1 ลาออกจากฟุตบอลลีกพร้อมกัน

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ บริหารจัดการโดยสโมสรสมาชิกที่เป็นผู้ถือหุ้น โดยการเป็นสมาชิกจะขึ้นอยู่กับอันดับในตารางคะแนน โดยผู้ถือหุ้น 22 ราย (สโมสร) ของลีกใหม่ที่จัดตั้งขึ้น ได้แก่ อาร์เซนอล, แอสตันวิลลา, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, เชลซี, โคเวนทรี ซิตี้, คริสตัล พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน, อิปสวิช ทาวน์, ลีดส์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, มิดเดิลสโบรห์, นอริช ซิตี้, น็อตติงแฮม ฟอเรสต์, โอลด์แฮม แอธเลติก, ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์, เซาแธมป์ตัน, ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และวิมเบิลดัน

โดยผู้ถือหุ้นจะจัดการประชุมทุกไตรมาส ผู้ถือหุ้นคนใดก็ตามที่เข้าร่วมประชุมสามารถเสนอญัตติได้ ซึ่งผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง 1 เสียง และ 2 ใน 3 เสียงต้องเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงกฎและสัญญาเชิงพาณิชย์ที่สำคัญทั้งหมดของสโมสรในพรีเมียร์ลีก

นอกจากนี้ ยังมีผู้ถือหุ้นอีกรายคือสมาคมฟุตบอลอังกฤษ แม้ว่าจะมีอำนาจยับยั้งเรื่องสำคัญบางเรื่อง เช่น การแต่งตั้งประธานและซีอีโอ การเลื่อนชั้นและตกชั้น แต่สมาคมฯ ไม่มีสิทธิ์พูดในเรื่องอื่น ๆ ของพรีเมียร์ลีก

จากนั้นผลประโยชน์ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็หลั่งไหลเข้ามาสู่พรีเมียร์ลีก ก่อนจะเริ่มการแข่งขันในฤดูกาล 1992-93 อย่างเป็นทางการ โดยขายสิทธิ์ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ให้กับ Sky ภายใต้ระยะเวลา 5 ปี ด้วยมูลค่ากว่า 192 ล้านปอนด์ และเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ดังนี้

  • ปี 1992-1997 อยู่ที่ 191 ล้านปอนด์
  • ปี 1997-2001 อยู่ที่ 670 ล้านปอนด์
  • ปี 2001-2004 อยู่ที่ 1200 ล้านปอนด์
  • ปี 2004-2007 อยู่ที่ 1024 ล้านปอนด์
  • ปี 2007-2010 อยู่ที่ 1706 ล้านปอนด์
  • ปี 2010-2013 อยู่ที่ 1773 ล้านปอนด์
  • ปี 2013-2016 อยู่ที่ 3018 ล้านปอนด์
  • ปี 2016-2019 อยู่ที่ 5136 ล้านปอนด์
  • ปี 2019-2022 อยู่ที่ 4,550 ล้านปอนด์
  • ปี 2022-2025 อยู่ที่ 5,100 ล้านปอนด์
  • ปี 2025-2029 อยู่ที่ 6,700 ล้านปอนด์

ย้อนดูไทยลีก วันที่สโมสรลงมติขอแยกตัว

สำหรับประเทศไทย กระแสการตั้งบริษัทแยกจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เพื่อดำเนินการจัดการแข่งขันเอง เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังการประชุมร่วมกันของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และบริษัท ไทยลีก จำกัด ผู้จัดการแข่งขัน พร้อมด้วยตัวแทนสโมสรในศึกไทยลีก เรื่องการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลลีก ฤดูกาล 2023-24 ถึง 2026-27 รวม 4 ฤดูกาล

เหตุการณ์ครั้งนั้น ปรากฏว่ามีการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลไทยแบบครบวงจรจากบริษัทหนึ่งเพียงแค่ 50 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้า เพราะเมื่อก่อนตัวเลขตรงนี้อยู่ในหลัก 1 พันล้านบาทต่อฤดูกาล ทำให้เกิดการเสนอแนวความคิดที่ 16 สโมสรในไทยลีกจะออกมาตั้งบริษัทใหม่เพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ด้วยตัวเอง คล้ายกับที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เคยทำ

  • ปี 2014-2016 ตอนยังเป็น โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก ทรูวิชั่นส์ เป็นผู้คว้าสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก 3 ปี ด้วยมูลค่า 1,800 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 600 ล้านบาท
  • ปี 2017-2020 ทรูวิชั่นส์ คว้าลิขสิทธิ์ต่อเนื่องไปอีก 4 ฤดูกาล ทั้งไทยลีก, ลีกวัน, ลีกคัพ และเอฟเอ คัพ ด้วยมูลค่าที่เป็นจุดพีก พุ่งกระฉูดถึง 4,200 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 1,050 ล้านบาท
  • ปี 2021-22 เปลี่ยนมือเป็น AIS คว้าลิขสิทธิ์ไปครองด้วยจำนวนเงินที่ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท และต่อสัญญาอีกครั้งในฤดูกาล 2022-23 กับค่าลิขสิทธิ์ที่คาดว่าราว 300 ล้านบาท

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 ที่สนามฟุตบอลบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ตัวแทนสโมสรในไทยลีก ฤดูกาล 2025-26 มีการประชุม Thai League Work Shop โดยวาระสำคัญคือการแยกบริษัทออกมาจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลีก จำกัด เพื่อจัดการแข่งขันไทยลีกกันเอง

จากการประชุมดังกล่าว ตอนแรกมี 11 สโมสรที่เห็นพ้องกันว่าต้องการแยกบริษัทออกมา โดยมี 2 สโมสรไม่ออกความคิดเห็น และ 2 สโมสรไม่เห็นด้วย ซึ่งจะเริ่มต้นในฤดูกาล 2025-26

สโมสรที่เห็นด้วย 11 เสียง ประกอบด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, ลำพูน วอริเออร์, ราชบุรี, พลังกาญจน์, อยุธยา ยูไนเต็ด, ชลบุรี, พีที ประจวบ, อุทัยธานี, สุโขทัย

สำหรับทีมที่ไม่โหวตเห็นด้วย ได้แก่ ระยอง เอฟซี และการท่าเรือ เอฟซี ขณะที่ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และเมืองทอง ยูไนเต็ด งดออกเสียง

ทั้งนี้ มี 1 สโมสรที่ไม่ร่วมประชุมออกความเห็น คือ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี โดยไม่ได้ส่งตัวแทนมาร่วมประชุม

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา นครราชสีมา เอฟซี และ ลำพูน วอริเออร์ ส่งหนังสือถึง “มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ” นายกสมาคมฯ แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแนวทางแยกการแข่งขันไทยลีก 1 ออกไปบริหารเอง

บริษัท ไทยลีก ขาดทุนต่อเนื่อง

มาดู “บริษัท ไทยลีก จำกัด” กันบ้างในฐานี่เป็นบริษัทบริหารการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ และถือหุ้นโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

ปฐมบทของการก่อตั้งบริษัทนี้ มาจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (Asian Football Confederation : AFC) ออกระเบียบว่าด้วยความเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อปี 2552 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในสมัย “นายวรวีร์ มะกูดี” จึงต้องดำเนินการจัดตั้งบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ขึ้นเพื่อจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกภายในประเทศอย่างเป็นอาชีพที่แท้จริง

จากนั้นในปี 2559 เมื่อ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน โดยใช้ชื่อว่า บริษัท พรีเมียร์ลีกไทยแลนด์ จำกัด ก่อนจะจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท ไทยลีก จำกัด ขึ้นมาแทนที่บริษัท พรีเมียร์ลีกไทยแลนด์ จำกัด อีกครั้งหนึ่ง

โดยข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท ไทยลีก จำกัด มีรายได้ และกำไร-ขาดทุน 5 ปี ย้อนหลัง ดังนี้

  • ปี 2563 รายได้รวม 457,987,132.27 บาท ขาดทุน 29,972,966.79 บาท
  • ปี 2564 รายได้รวม 223,588,176.78 บาท ขาดทุน 98,903,733.40 บาท
  • ปี 2565 รายได้รวม 487,164,103.31 บาท กำไร 49,915,382.32 บาท
  • ปี 2566 รายได้รวม 390,361,558.75 บาท ขาดทุน 32,293,064.89 บาท
  • ปี 2567 รายได้รวม 238,456,585.45 บาท ขาดทุน 264,127,006.96 บาท

อย่างไรก็ตาม การแยกตัวออกมาตั้งบริษัทเพื่อจัดการแข่งขันเองนั้น ขั้นตอนต่อไปคือการเสนอเรื่องให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยจะมีสภากรรมการเป็นผู้ตัดสินอีกครั้งว่าจะอนุมัติตามคำขอของสโมสรหรือไม่อย่างไร หากอนุมัติ ทั้ง 16 สโมสรจะมาประชุมกันต่อว่าจะบริหารจัดการแข่งขันอย่างไร

ที่มา : About Premier League, HISTORY OF SOCCER, Premier League TV broadcasting rights revenue* from 1992 to 2019