เหลือเชื่อ! ‘แมนฯ ยู’ บุกอัด ‘เปแอชเช’ 3-1 เข้ารอบ 8 ทีมแชมเปี้ยนส์ ลีก

การแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 เมื่อเช้ามืดวันที่ 8 มีนาคม คู่แรก ปารีส แซงต์แชร์แมง กลับมาเล่นในบ้านปาร์ก เดส์ แปรงส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมจากเกาะอังกฤษ

นัดแรก เปแอสเช บุกไปเชือด แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงโอลด์แทรฟฟอร์ด 2-0 นัดนี้จึงกุมความได้เปรียบอยู่หลายขุม เล่นแค่เสมอ หรือประคองตัวชนะ 1 เม็ดก็เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบชิลๆ แล้ว ขณะที่ปีศาจแดง จำเป็นต้องใส่เกียร์เดินหน้าเต็มสูบเพื่อหวังบุกไปเอาชนะ เปแอสเช 2-0 เพื่อไปลุ้นในช่วงต่อเวลา หรือ 3-0 เพื่อเข้ารอบต่อไปทันที

โธมัส ทูเคิล กุนซือของทีมมหาเศรษฐีอย่างเปแอสเช จัดทัพ 11 ผู้เล่นเต็มสูบ ประกอบด้วย จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ธิโล เคห์เรอร์, ธิอาโก้ ซิลวา, เปรสแนล คิมเพมเบ้, ฆวน เบร์นาต, มาร์โก้ แวร์รัตติ, มาร์กินญอส, ดาเนียล อัลเวส, จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์, อังเคล ดิ มาเรีย และคีเลียน เอ็มบัปเป้ ส่วนเนย์มาร์ และเอดิสัน คาวานี่ ยังมีอาการบาดเจ็บ

ส่วนทีมเยือน “ปีศาจแดง”  ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ กุนซือใหญ่ เจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บรุมเร้าเพียบไม่ว่าจะเป็น เจสซี่ ลินการ์ด, ฆวน มาต้า, อันเดร์ เอร์เรร่า, เนมานย่า มาติช และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ซ้ำร้าย ปอล ป็อกบา กองกลางตัวหลักมาติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในนัดแรกที่ทั้งคู่เจอกัน

11 ผู้เล่นตัวจริงของ แมนฯ ยูไนเต็ด ประกอบด้วย ดาบิด เด เคอา, แอชลี่ย์ ยัง, คริส สมอลลิ่ง, วิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ, ลุค ชอว์, เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เอริก ไบยี่, อันเดรียส เปไรร่า, มาร์คัส แรชฟอร์ด  และโรเมลู ลูกากู

ครึ่งแรกแม้ว่าโอกาสของปีศาจแดงค่อนข้างริบหรี่แต่พลพรรคปีศาจในยุคใหม่ของโซลชาสู้แบบถวายหัวต่างจากยุค โชเซ่ มูรินโญ่ อย่างชัดเจน และเพียงแค่ 2 นาที แมนฯ ยู ออกนำอย่างรวดเร็วจากความผิดพลาดในการเซตบอลของแผงหลังเปแอชเชก่อนที่ ลูกากู สลัดคราบตู้เย็นแสดงความปราดเปรียวลากบอลหลุดเดี่ยวหลบบุฟฟ่อนและล้มตัวยิงเข้าไปอย่างงดงาม ทำให้ความหวังของเหล่าปีศาจทั่วโลกเริ่มมีความหวังขึ้นมา

ทันทีที่เสียประตูอย่างรวดเร็ว เปแอชเช โหมบุกหนัก ครองบอลอยู่ฝ่ายเดียวปั่นป่วนแนวรับแมนฯ ยู จนระส่ำ และนาทีที่ 12 เปแอชเช มาตีเสมอ 1-1 จากจังหวะที่เอ็มบัปเป้ ตวัดบอลปาดไปหน้าประตู ฆวน เบร์นาต แปเน้นๆ ไม่เหลือซาก

พอเสียประตูตีเสมอ 1-1 แมนฯ ยู เริ่มกลับมาเพรสซิ่งแดนบน และมีการเปลี่ยนไบยี่ ที่มีอาการเจ็บออกและส่ง ดิโอโก้ ดาโลต์ ลงมาแทน กระทั่งนาทีที่ 30 แมนฯ ยู บุกไปยิงนำ 2-1 อีกครั้งจากจังหวะตะบันไกลของ แรชฟอร์ด แต่บุฟฟ่อนรับบอลกระฉอกออกมา ลูกากู เจ้าเก้าคนเดิมที่ฟอร์มฮอตเกินบรรยายซ้ำไม่เหลือซากให้แมนฯ ยูนำ 2-1

สถานการณ์ท้ายครึ่งแรกเริ่มเปลี่ยน เปแอชเช เริ่มระวังตัวมากขึ้นเพราะหากเสียประตูให้แมนฯ ยู อีกตุงเดียวพวกเขาจะตกรอบทันทีด้วยกฎประตูทีมเยือน จึงเล่นอย่างรัดกุมและจบครึ่งแรกแมนฯ ยู นำ 2-1

ครึ่งหลัง เปแอชเช พยายามตั้งเกมรุกบุกใส่ปีศาจแดง ต้นครึ่งหลัง ดิ มาเรีย อดีตเด็กเก่าที่โดนปีศาจแดงเขี่ยทิ้งออกมากหลุดไปยิงผ่านเดเคอา เข้าประตูไปแต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าก่อนชัดเจน

ผ่าน 75 นาที แมนฯ ยู ทำได้ดีกว่าต่อบอลกันอย่างสวยงาม แต่พื้นที่สุดท้ายขาดความแน่นอน ขณะที่เปแอชเช เน้นรัดกุมแล้วโต้กลับเร็ว

นาทีที่ 83 เปแอชเช เกือบตีเสมอได้ เมื่อเอ็มบัปเป้ หลุดเดี่ยวแต่ เดเคอา โชว์ออกมาเซฟไว้อย่างเหลือเชื่อ

ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 3 แฟนแมนฯ ยู ได้ลุ้นระทึกเมื่อผู้ตัดสินขอดูวีเออาร์จากจังหวะที่ดาโลต์ ตะบันบอลไปติดแขนผู้เล่นเปแอชเช ในกรอบเขตโทษก่อนที่จะเป่าเป็นจุดโทษให้แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งนั่นหมายความว่าหากแมนฯ ยู ยิงเข้าไปจะเสมอกัน 3-3 และแมนฯ ยู จะเข้ารอบต่อไปด้วยกฎประตูทีมเยือนทันที และแรชฟอร์ด ตะบันจุดโทษเข้าไปแบบไม่มีปัญหา พาแมนฯ ยูบุกไปชนะเปแอชเช 3-1 สกอร์รวม 2 นัดเสมอ 3-3 แมนฯ ยู เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ

ส่วนอีกคู่ ‘ปอร์โต้’ ยอดทีมจากโปรตุเกส ต่อเวลาพิเศษเชือด ‘โรม่า’ 3-1 เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเช่นกัน

 


ที่มา:มติชนออนไลน์