บทเรียนจาก “เคป้า” มือกาวที่ทำให้โลกเจอสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็น

อาฮุย แผ่นดินใหญ่ : เรื่อง

ฟุตบอลเป็นอีกหนึ่งกีฬาเก่าแก่ที่อยู่คู่คนทั่วโลกมายาวนาน และที่มันยังได้รับความนิยมถึงวันนี้ไม่ใช่แค่ความสนุกของเกมเท่านั้น เสน่ห์ที่ขาดไม่ได้คือความตื่นเต้นและเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตราบใดที่ยังไม่ได้ยินเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่ง และเหตุการณ์ที่แฟนบอลไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบหลายทศวรรษก็เพิ่งปรากฏให้เห็นจากเกมนัดชิงคาราบาว คัพ ซึ่งผู้รักษาประตูในสนามปฏิเสธจะถูกเปลี่ยนตัวออก

เหตุการณ์ที่ เคป้า อาร์ริซาบาลาก้า นายทวารชาวสเปนของสโมสรเชลซี งัดข้อกับ เมาริซิโอ ซาร์รี บอสของเชลซีกลางสนามต่อหน้าผู้ชมทั่วโลก ทำให้แฟนบอลสัมผัสประสบการณ์แปลกอีกครั้ง สถานการณ์ที่เหมือนไม่มีอะไรเมื่อทีมงานของสิงห์บลูส์ต้องการเปลี่ยน วิลลี่ คาบาลเญโร ผู้รักษาประตูสำรองให้ลงไปแทนเจ้าหนูมือกาวแดนกระทิงดุวัย 23 ปี ในช่วงท้ายเกมนัดชิงชนะเลิศที่กำลังจะต้องตัดสินแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยการดวลจุดโทษกลับกลายเป็นเรื่อง

ผู้รักษาประตูหนุ่มในสนามเห็นสัญญาณขอเปลี่ยนเขาออกก็เริ่มออกอาการไม่พอใจ โบกไม้โบกมือปฏิเสธ และแสดงท่าทีดื้อดึงอย่างโจ่งแจ้ง กุนซือรุ่นใหญ่

ที่เห็นลูกทีมงัดข้อกันกลางสนาม ทำให้การตัดสินใจของนายใหญ่ของเชลซีในเกมเหมือนลมพัดผ่าน ไม่มีผลอะไรในช่วงเวลาที่อาจชี้วัดและตัดสินแชมป์ได้ขนาดนี้

ซาร์รีถึงกับระเบิดอารมณ์ ขว้างปาสิ่งของ และเกือบเดินออกจากสนามแล้ว สถานการณ์ในเกมนัดชิงลีกคัพช่วงนั้นถูกบรรยายด้วยถ้อยคำว่า “ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาเกิดกับเคป้า เจ้าของสถิติ

ผู้รักษาประตูที่แพงที่สุดในโลกซึ่งเพิ่งย้ายจากแอตเลติก บิลเบา มาสู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อปี 2018 ด้วยค่าตัวมากถึง 71 ล้านปอนด์ จากที่เคยมีค่าตัวระดับทั่วไปที่ 18 ล้านปอนด์

เบื้องหลังเรื่องราวครั้งนี้กลายเป็นแค่ความเข้าใจผิดจากการสื่อสารไม่ชัดเจน ซาร์รียอมรับว่าเขาเข้าใจผิดว่าเคป้าเป็นตะคริวเลยต้องเปลี่ยนตัวออก ซาร์รีเห็นทีมแพทย์ต้องเข้าไปดูอาการเคป้าถึง 2 ครั้ง เลยไม่วางใจให้ผู้เล่นสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดแชมป์ในการดวลจุดโทษเดินเข้าไปเล่นในสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์

แต่เคป้าต้องการบอกให้ซาร์รีทราบว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร ที่เขาหย่อนก้นแตะพื้นก็เพียงแค่ต้องการให้ทีมพักเบรกหายใจในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเห็นว่าเป็นช่วงที่ทีมเจอกดดันหนัก ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากของอาร์ริซาบาลาก้าว่า “เล่นต่อไม่ไหว” และเมื่อทีมแพทย์ไปถึงม้านั่งสำรอง เรื่องก็คลี่คลาย

แม้แต่ซาร์รีก็ยอมรับว่าเรื่องนี้เคป้าเป็นฝ่ายถูก แต่สิ่งที่ผิดในตัวเคป้า คือ “การแสดงออก” นี่คือวาทะที่น่าสนใจสำหรับลูกหนัง

ย้อนกลับไปดูสถิติเหตุการณ์ดาวดังพยศในสนาม คงต้องบอกว่า เคป้าไม่ใช่คนแรกที่ปฏิเสธการตัดสินใจของกุนซือใหญ่ ผู้เล่นระดับดาวดังทั้ง ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หรือ คาร์ลอส เตเวซ (มีแค่เมสซี่ เท่าที่ไม่ได้มีภาพลักษณ์ “แสบทรวง” เป็นทุนเดิม) พวกเขาเหล่านี้เคยปรากฏภาพไม่ทำตามคำสั่งจากนายใหญ่
ข้างสนาม แต่ไม่มีใครที่เคยแสดงออกชัดด้วยกิริยารุนแรงในเหตุการณ์ระดับนัดตัดสินแชมป์ในลีกระดับท็อป

การเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตูลงมาเพื่อเซฟจุดโทษเกิดขึ้นบ่อยในเกมฟุตบอลนัดสำคัญ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้จัดการจะทำงานเชิงแท็กติกแบบนี้

(ทั้งที่บอกกันก่อนและไม่บอกก่อนเกม) เช่นเดียวกับครั้งนี้ เมื่อดูสถิติแล้ว คาบาลเญโรมีสถิติเซฟจุดโทษดีกว่าเคป้า 10 เปอร์เซ็นต์ กรณีนี้ยิ่งมีน้ำหนักขึ้น เมื่อคาบาลเญโรเป็นอดีตผู้เล่นแมนฯ ซิตี้ มีแนวโน้มคุ้นเคยกับอดีตเพื่อนร่วมทีม และย่อมมีข้อมูลเหนือกว่าเคป้าไม่มากก็น้อย

ผลกระทบที่ตามมาต่อผู้รักษาประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลกคือ โดนสโมสรปรับเงิน 1.9 แสนปอนด์ ขณะที่เคป้าขอโทษสำหรับการกระทำของเขา ซาร์รีก็ต้องชี้ให้เห็นว่าการกระทำมีผลตามมา โดยเลือกคาบาลเญโรลงเล่นในเกมใหญ่ศึกลอนดอนดาร์บี้แมตช์กับสเปอร์ส และทีมก็ได้ชัยจากเกมสำคัญนี้ด้วย

ในแง่การตัดสินใจของผู้จัดการทีม ซาร์รีที่อยู่ในช่วงเก้าอี้ร้อนจากผลงานของทีม และยังเจอเรื่องคุกรุ่นผุดให้ปวดหัวอีก ยังกล้าตัดสินใจเด็ดขาดแบบหักดิบที่เหมือนเป็นการสั่งสอนให้เคป้ารู้ว่าการกระทำย่อมมีผลตามมา ซึ่งการตัดสินใจนี้ก็เป็นความเสี่ยงพอสมควรกับการเลือกใช้งานผู้รักษาประตูมือ 2 ในเกมใหญ่ที่อาจตัดสินอันดับในลีกเมื่อจบฤดูกาลได้เลย

สำหรับเคป้า การขอโทษผ่านแถลงการณ์ก็อาจไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งที่ผิดคือการแสดงออก ในยุคที่กีฬาไม่ได้มีผู้ชมในสนาม แต่มีผู้ชมทั่วโลก เป็นโรงละครของโลก จริงอยู่ว่า นักกีฬาแถวหน้าของโลกจำนวนไม่น้อยก็เคยขัดขืนคำสั่งของโค้ชจนเปลี่ยนการตัดสินใจของเจ้านายได้ แต่มี 2 ประเด็นที่เคป้าและหลายคนจำเป็นต้องตระหนักคือ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม การแสดงออกเป็นเครื่องชี้วัด และเป็นเครื่องตัดสินตัวตนของคนเสมอในยุคโรงละครโลก และไม่เพียงแค่การแสดงออก แต่เชื่อว่าอีกประการหนึ่งคือ เคป้า ยังไม่อยู่ในสถานะที่จะดันคำสั่งโค้ชให้ตกไปได้เหมือนกับเหล่านักกีฬาที่ทรงอิทธิพลรายอื่น