ผลกระทบใหญ่แค่ไหน เมื่อ…แม็กเกรเกอร์ อำลาสังเวียนมวยกรง

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของคอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ นักชกชื่อดังที่ประกาศอำลาสังเวียนศิลปะการต่อสู้แบบผสม หรือ mixed martial art กีฬาอาชีพที่ได้รับความนิยมอย่างสูงตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่องช็อกสำหรับแฟนหมัดมวยเท่านั้น แต่สำหรับเชิงธุรกิจแล้วก็ยังทำให้เกิดคำถามต่อวงการที่กำลังจะสูญเสียอีกหนึ่งดาวเด่นและแม่เหล็กที่ดึงดูดและสร้างสีสันให้กับวงการ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม็กเกรเกอร์ ประกาศอำลาสังเวียน เมื่อปี 2016 แม็กเกรเกอร์ เคยทวีตว่าขออำลาวงการตั้งแต่ช่วงหนุ่ม แต่ครั้งนั้นนักวิเคราะห์

เชื่อว่าเป็นกลยุทธ์ดึงเชิงหรืองัดข้อเพื่อบีบให้ได้สัญญาที่น่าสนใจมากขึ้นจากโปรโมเตอร์ ซึ่งช่วงเวลาที่เขาประกาศอำลาวงการก็เป็นช่วงเดียวกับที่มีข่าวเรื่องเจรจาสัญญากับยูเอฟซี รายการมวยผสมแถวหน้าของโลกยังไม่ลงตัว

ขณะที่การกลับมาขึ้นชกเมื่อเดือนตุลาคม 2018 ในไฟต์เดือดอันมาพร้อมวีรกรรมฉาวทั้งหลายก่อนขึ้นชกทำให้ศึกยูเอฟซีได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก จะว่าไปแล้วอาจไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดีนักสำหรับตัวแม็กเกรเกอร์ ไม่ว่าที่มาที่ไปและผลลัพธ์ในแง่อื่นจะเป็นอย่างไร แต่ในเชิงการตลาด อย่างน้อยข่าวเหล่านี้กลับส่งผลบวกในเชิงการสร้างการรับรู้ต่อแฟนให้หันมาสนใจการชกมากขึ้น

ก่อนจะไปว่าถึงผลกระทบต่อธุรกิจกีฬา คงต้องพูดถึงคำถามที่หลายคนน่าจะยังค้างคาใจกันอยู่ว่าทำไมแม็กเกรเกอร์ ออกมาทวีตข้อความประกาศอำลาสังเวียนกรงไปดื้อ ๆ โดยหลายคนเชื่อมโยงไปถึงคดีและข้อพิพาทหลายกรณีจากพฤติกรรมนอกสังเวียน

1-2 ปีมานี้ แม็กเกรเกอร์ ประกอบวีรกรรมอื้อฉาวทั้งเขวี้ยงเหล็กใส่รถบัส มาจนถึงช่วงพีกในแง่คดีจากที่แย่งโทรศัพท์ของแฟนกีฬาและเขวี้ยงลงพื้น สำหรับคดีล่าสุด ช่วงปลายเดือนมีนาคม ก่อนหน้าทวีตสะเทือนโลกแห่งสังเวียนกรงไม่กี่วัน นักชกจอมซ่าก็ตกเป็นข่าวว่าถูกตำรวจไอร์แลนด์สอบสวนหลังมีหญิงสาวกล่าวหาว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่คดีนี้ยังไม่มีการตั้งข้อหาต่อแม็กเกรเกอร์ แต่อย่างใด

นอกเหนือจากเรื่องคดีอื้อฉาวนอกสังเวียนกรง การทวีตครั้งนี้ก็ถูกเชื่อมโยงกับข่าวเรื่องการเจรจาที่ไม่ลงตัวกับยูเอฟซีอีกหน ซึ่งเว็บไซต์ TMZ รายงานโดยอ้างการให้สัมภาษณ์ของดานา ไวท์ บอสใหญ่ของศึกยูเอฟซี ซึ่งอ้างว่า แม็กเกรเกอร์ ต้องการมีเอี่ยวมีส่วนได้กับบริษัทบ้าง แต่ดานา ไวท์ เล่าว่า เขาบอกนักชกไอริชว่า

“ไม่มีทางจะเกิดขึ้นแน่นอน”

หลายสัปดาห์ต่อมา ทวีตประกาศแขวนถุงมือก็โผล่ในหน้าสื่อสังคมออนไลน์จนมาเป็นประเด็นที่กำลังพูดคุยกันทั่วโลกในขณะนี้ ภายหลังทวีตเผยแพร่ ตัวแทนของแม็กเกรเกอร์ ออกมายืนยันกับสื่อว่า คดีและข้อกล่าวหาทางอาชญากรรมไม่เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวในการประกาศครั้งล่าสุด ซึ่งดานา ไวท์ ก็ยืนยันเช่นกันว่า แม็กเกรเกอร์ ไม่น่าจะประกาศแบบนี้ ด้วยสาเหตุเรื่องปัญหาคดีที่เข้าไปพัวพันนั้นรุมเร้าเข้ามา

หลายคนคิดว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์เรียกกระแสอีกครั้งของแม็กเกรเกอร์ หรือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกนำไปเทียบเคียงกับกรณีของฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ จูเนียร์ ซึ่งเคยประกาศอำลาสังเวียนไปแล้วก่อนหวนคืนขึ้นชก ไฟต์ลักษณะนี้ที่เรียกกันว่า “ไฟต์คืนสังเวียน” ของนักชกระดับซูเปอร์สตาร์ของโลกมีมูลค่ามากกว่าไฟต์ปกติแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารศึกยูเอฟซีให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นว่า แม็กเกรเกอร์ มีเหตุผลพอที่จะเลิกชกมวยผสมระดับอาชีพ จากที่เขาสร้างชื่อเสียง สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีธุรกิจเครื่องดื่มแบรนด์ของตัวเอง และเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาผลงานล่าสุดของเขาคือศึกยูเอฟซี 229 เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ซึ่งแม็กเกรเกอร์ ยอมแพ้คู่ปรับในการชกยก 4

การประกาศครั้งล่าสุดนี้ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจโดยรวม เมื่อพวกเขาสูญเสียซูเปอร์สตาร์ตัวเป้งของวงการ อีเอสพีเอ็นผู้ได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดรายล่าสุดที่เพิ่งรวบรวมสิทธิ์ถ่ายทอดสดในสหรัฐอเมริกาตลาดใหญ่ของศึกยูเอฟซีแต่เพียงผู้เดียวไปจนถึงปี 2025 ด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ น่าจะคาดหวังจำนวนผู้สมัครใช้บริการและผู้จ่ายเข้าชมเป็นรายครั้งให้ควักกระเป๋าแลกกับการรับชมไฟต์ที่ดุเดือด

แต่ช่วงเวลานี้นับเป็นหัวโค้งรอยต่อที่สำคัญสำหรับธุรกิจนี้ที่กำลังเติบโตแต่กลับมาสูญเสียสตาร์ ตั้งแต่กรณีที่แม็กเกรเกอร์ ถูกลงโทษแล้ว แม้ว่ายูเอฟซี จะลอยตัวเนื่องจากขายสิทธิ์แก่

ผู้ถ่ายทอดสดแล้ว แต่ในแง่หนึ่งก็ต้องยอมรับว่า ความนิยมและรายได้ของตัวละครในวงจรนี้เกี่ยวพันเชื่อมโยงกัน

ถ้าครั้งนี้แม็กเกรเกอร์ เคลื่อนไหวจริงจังไม่ได้หวังผลเบื้องหลัง คงเป็นหน้าที่ของยูเอฟซี

ที่จะต้องหาดาราคนต่อไป และไม่เพียงต้องเป็นดาราที่ฉายแววมีตัวตนเด่นชัด คนคนนี้ยังต้องเป็นนักสู้ที่มีทักษะยอดเยี่ยมเพื่อสร้างมูลค่าให้รายการให้ยังมีผู้สนใจซื้อสิทธิ์ไปบริหารจัดการต่อหลังหมดสัญญาครั้งล่าสุดลง โดยเฉพาะในยุคที่แวดวงสตรีมมิ่งและตลาดคอนเทนต์มีตัวเลือกให้ผู้บริโภคมากมาย ไม่ว่าจะในแง่บันเทิงหรือการกีฬา เพดานกำลังทรัพย์ของ


ผู้บริโภคมีจำกัด ตัวแปรคือแม่เหล็กที่จะดึงดูดให้พวกเขาตัดสินใจเลือกใช้บริการนี่แหละ