บทเรียนและสิ่งที่ “เบน เดวิส” ต้องแลก เมื่อเลือกเล่นให้ไทย เลี่ยงฝึกทหารสิงคโปร์

SINGAPORE, SINGAPORE - March 23: Benjamin Davis of Singapore during the International Friendly Soccer Match between Singapore and Maldives at the National Stadium on March 23, 2018, in Singapore, Singapore. (Pictobank/Getty Images)

หากวงสนทนาเรื่องฟุตบอลทีมชาติเริ่มพูดถึงนักเตะโอนสัญชาติ เสียงการสนทนาคงเริ่มเสียงแตกกันบ้างในบางวง ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ทำให้เกิดการถกเถียงเสมอ สำหรับทีมชาติไทยแล้วแทบนับครั้งได้ที่จะเห็นการดึงนักเตะลูกครึ่งที่เคยเล่นให้ทีมชาติชุดอื่นมาเพื่อเสริมกำลัง แต่จากความเคลื่อนไหวของทัพช้างศึกล่าสุด ดูเหมือนว่าไทยจะได้มีนักเตะดาวโรจน์ที่เป็นลูกครึ่งจากลีกอังกฤษคนใหม่มาร่วมทีม

ทีมชาติไทยชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี สำหรับเตรียมแข่งซีเกมส์ ที่ฟิลิปปินส์ 28 ชื่อนักเตะปรากฏชื่อ เบนจามิน เจมส์ เดวิส นักเตะลูกครึ่งที่มีพ่อเป็นชาวอังกฤษ และแม่เป็นชาวไทยเข้ามาด้วย นักเตะรายนี้ไปอาศัยในประเทศสิงคโปร์ ครบกำหนดจนได้สัญชาติสิงคโปร์ และเคยติดทีมชาติสิงคโปร์ชุดอายุไม่เกิน 16 ปี เล่นให้ทีมชาติชุด U-19 มาแล้ว

ชื่อเบน เดวิส เป็นที่รู้จักในแวดวงฟุตบอลอังกฤษพอสมควร เนื่องจากเขาตกเป็นข่าวว่าเป็น “นักเตะสิงคโปร์” อีกรายที่ผ่านคัดตัวกับสโมสรฟูแล่มในอังกฤษ (ปัจจุบันเล่นในแชมเปี้ยนชิพ) เดวิส วัยย่าง 18 ปี เพิ่งเล่นให้ฟูแล่ม ในรายการคาราบาวคัพ ปี 2019 เมื่อเดือนสิงหาคมด้วย เรียกได้ว่าเป็นนักเตะเอเชียอีกรายที่ถูกจับตามองมากที่สุดอีกคนในยุโรป การที่ทีมชาติไทยใส่ชื่อ เบน เดวิส ไปในทีมชุดนี้ มีเรื่องราวที่น่าคิดหลายมุม และยังกลายเป็นข้อถกเถียงระหว่างแฟนบอลไปด้วย

เดิมที เบน เดวิส ที่ได้สัญชาติสิงคโปร์ จะต้องเข้าเป็นทหารตามกฎหมายของสิงคโปร์ ซึ่งระบุว่าชายที่อายุครบกำหนดต้องฝึกทหาร 2 ปีเต็ม ปัญหานี้คือทางแพร่งสำคัญในชีวิตนักกีฬา การฝึกทหารถึง 2 ปี ย่อมทำให้การฝึกซ้อมหรือการลงแข่งมีปัญหาแน่นอน ยิ่งกับนักกีฬาที่มีสังกัดอย่างนักฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นโค้ชหรือแฟนบอลต่างแสดงความคิดเห็นว่า การฝึกทหาร 2 ปี ส่งผลต่ออาชีพนักฟุตบอลอย่างแน่นอน ลองนึกถึงแค่อาการบาดเจ็บไม่ถึง 6 เดือน ก็ส่งผลต่อที่นั่งในทีมแล้ว พวกเขาต้องตัดสินใจเลือก

ถ้าจะรับใช้ชาติตามกฎหมายก็ย่อมส่งผลต่ออนาคตนักกีฬา โดยเฉพาะในวัย 18 ปี ซึ่งเส้นทางนักฟุตบอลของเดวิสก็ยังไปได้สวย หรือจะเลือกทิ้งสัญชาติสิงคโปร์เพื่อเดินหน้าสู่จุดสูงสุดในเส้นทางลูกหนัง แต่ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงถูกดำเนินคดีจากรัฐบาลสิงคโปร์ และจะไม่สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้อีกเลย หากเลือกทำตามกฎหมายเท่ากับความเสี่ยงต่ออนาคตนักฟุตบอลในเวทีระดับโลกจะล่มสลาย

กระบวนการเคลื่อนไหวของเบน เดวิส ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว กระแสสังคมฝั่งหนึ่งที่โต้แย้งว่า กฎหมายของสิงคโปร์เข้มงวดเกินไปและละเลยสภาพปัจจุบัน ก็ไม่สามารถโน้มน้าวรัฐบาลสิงคโปร์ให้ปรับเปลี่ยนได้ คำร้องขอและการดำเนินการทางเอกสารของเบน เดวิส ที่ร้องขอไปยังหน่วยงานความมั่นคงของสิงคโปร์ไร้ผล โดยรัฐให้เหตุผลว่าเงื่อนไขผ่อนผันของเขาไม่เข้าข่าย ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้หากมองในมุมรัฐบาลสิงคโปร์ กล่าวคือถ้าผ่อนปรนเคสนี้ได้ ก็อาจกระทบต่อเคสอื่น คราวนี้ใครก็จะมาขอผ่อนผันกัน

เมื่อรายชื่อทีมชาติไทยปรากฏนามของเบนจามิน เดวิส ก็เท่ากับว่า แข้งดาวรุ่งก็ต้องเลือกทิ้งสัญชาติสิงคโปร์ตามกฎของฟีฟ่า และนั่นหมายถึงบทลงโทษตามกฎหมายสิงคโปร์ด้วย ทั้งปรับเงินประมาณ 7,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และ/หรือโทษจำคุกสูงสุดที่ 3 ปี เบนคงไม่สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้อีก และทิ้งสวัสดิการพร้อมสิทธิจากสัญชาติสิงคโปร์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นประเทศที่สวัสดิการดีอีกแห่งของโลก

ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาเรื่องการฝึกหรือเกณฑ์ทหารสำหรับนักกีฬาเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายประเทศเผชิญ กฎหมายบางแห่งเลือกที่จะมีข้อผ่อนผันเอาไว้ อาทิ เกาหลีใต้ที่กำหนดให้ชายต้องฝึกทหาร แต่จะยกเว้นหากเข้าเกณฑ์ ซึ่งในข้อยกเว้นนี้หากได้รับเหรียญรางวัลในโอลิมปิก หรือมหกรรมกีฬาระดับทวีป

แต่สำหรับสิงคโปร์แล้ว ท่าทีของรัฐดูเคร่งครัดและว่ากันไปตามกฎ ถึงแม้ว่าสิงคโปร์ที่มั่งคั่งในเวลานี้สัมผัสความสงบสุขมาตลอดตั้งแต่ได้รับเอกราชเมื่อปี 1965 ก็ตาม แม้แต่ โจเซฟ สคูลลิ่ง นักว่ายน้ำดาวดวงใหม่ของวงการสระที่มาจรัสแสงจากโอลิมปิกครั้งหลังด้วยการแซงหน้าไมเคิล เฟลป์ส คว้าเหรียญทองมาได้ ก็ยังต้องฝึกทหาร แต่มีข้อผ่อนผันแค่เลื่อนเวลาออกไปเป็นปี 2020 หลังจบโอลิมปิกเกมส์ ที่โตเกียว

ข้อมูลจากหน่วยงานวิจัยอย่าง IHS Jane”s พบว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของสิงคโปร์ในปี 2016 มากถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์เชื่อว่ากรณีนี้สืบเนื่องมาจากความไม่ลงรอยกันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจในระดับโลก

สำหรับแฟนบอลสิงคโปร์ เดวิส ผู้เติบโตมาจากโรงเรียนฟุตบอลในสิงคโปร์โดยตรง และได้ไปเล่นให้ทีมในลีกอังกฤษได้ เขาเป็นความภูมิใจและเป็นความหวังของทีมชาติ แต่กลับมาเลือกหันหลังให้แบบนี้ ย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจและเสียดายบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ก็เข้าใจและยังให้การสนับสนุนเดวิส ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่รัฐกับผู้ดูแลเรื่องกีฬาในประเทศจะต้องมาดูกันใหม่ ดังเช่นความคิดเห็นของแฟนบอลบางราย

สำหรับไทยแล้ว ทัพช้างศึก (ชุดเล็ก) ได้รับประโยชน์จากฝีเท้านักเตะดาวรุ่งรายนี้ไปแบบส้มหล่น หากไม่มีอะไรผิดพลาด หรือเกมพลิก น่าจะได้เห็นฝีเท้าเขาในซีเกมส์ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ไม่แน่ว่าเบนอาจเป็นกำลังหลักของชุดใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้ (แต่หากมีเกมเล่นที่สิงคโปร์ ก็ต้องว่ากันอีกรอบ)