10 เหตุการณ์ใหญ่ ในโลกฟุตบอล ตลอดทศวรรษ 2010

LEICESTER, ENGLAND - MAY 07: Claudio Ranieri Manager of Leicester City lifts the Premier League Trophy as players celebrate the season champions after the Barclays Premier League match between Leicester City and Everton at The King Power Stadium on May 7, 2016 in Leicester, United Kingdom. (Photo by Laurence Griffiths/Getty Images)
ความพิเศษของปลายปี ค.ศ. 2019 คือ เป็นปีสุดท้ายของทศวรรษ 2010 ซึ่งระยะเวลา 10 ปีก็เป็นเวลานานพอให้เกิดเหตุการณ์มากมายบนโลก สโคปลงมาเฉพาะในแวดวงกีฬาฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกก็เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย มีการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2 ครั้ง และฟุตบอลสโมสรที่แข่งขันกันต่อเนื่องทุกปี


เมื่อจะสิ้นสุดทศวรรษทั้งที “ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” จึงได้เรียบเรียง 10 เหตุการณ์ใหญ่ในโลกฟุตบอลตลอดทศวรรษ 2010 ตามที่เว็บไซต์ Onefootball ได้เขียนเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

Photo by Jamie McDonald/Getty Images

ปี 2010 : สเปนคว้าแชมป์บอลโลก

เปิดทศวรรษ 2010 ด้วยการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจัดแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยคู่ชิงแชมป์ คือ ทีมชาติสเปน และทีมชาติเนเธอร์แลนด์

ไฮไลต์ของเกมนัดชิงแชมป์อยู่ที่ อันเดรส อีเนียสตา (Andres Iniesta) ที่ทำประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แล้วเขาก็ถอดเสื้อเผยให้เห็นเสื้อตัวในที่เขียนข้อความเป็นการระลึกถึง ดานิเอล ฆาร์เก (Daniel Jarque) อดีตกองกลางทีมชาติสเปนที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในวัยเพียง 26 ปี

ชัยชนะนัดนี้เป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของทีมชาติสเปน เพราะพวกเขาเพิ่งเป็นเจ้ายุโรปมา 2 สมัยซ้อน

Photo by Vi-Images/VI-Images via Getty Images

ปี 2011 : บาร์เซโลนาครองยุโรป

นัดชิงแชมป์สโมสรยุโรปในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นการชิงความยิ่งใหญ่ระหว่าง บาร์เซโลนา จากสเปน และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากอังกฤษ ณ สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ

ตามหน้าเสื่อ ทั้งคู่ดูจะเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสี แถมในช่วงครึ่งแรกสกอร์ยังอยู่ที่ 1-1 แต่พอครึ่งหลังกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน ขุนพลต่างดาวเล่นงานปีศาจแดงอย่างอยู่หมัด ผลการแข่งขันจบลงที่ บาร์เซโลนาชนะไป 3-1

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) ผู้จัดการทีมปีศาจแดงถึงกับให้สัมภาษณ์ถึงบาร์เซโลนาว่า “นี่คือทีมชุดที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอมาในฐานะกุนซือ”

Photo by Shaun Botterill/Getty Images

ปี 2012 : แมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ในรอบ 44 ปี

เป็นอีกหนึ่งปีที่การชิงแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีความเข้มข้นที่สุด เพราะในนัดสุดท้าย หากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถเอาชนะควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์สได้ พวกเขาจะได้ครองแชมป์ลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษ ที่เฝ้ารอมากว่า 44 ปี

แต่เกมมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามหลังควีนส์ปาร์กฯอยู่ 2-1 ซึ่งหากผลการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของควีนส์ปาร์กฯ ถ้วยแชมป์จะไปอยู่ที่คู่อริเมืองแมนเชสเตอร์ทันที

นาทีที่ 92 เอดิน เซโก้ (Edin Dzeko) ทำให้เรือใบสีฟ้ามีความหวังขึ้นมาด้วยการทำประตูตีเสมอ จนถึงช่วงนาทีสุดท้ายของการทดเวลา เซร์ฆิโอ อาเกวโร (Sergio Aguero) ก็ตอกย้ำความเป็นสุดยอดนักเตะ ด้วยการทำประตูชัยให้ทีมชนะไป 3-2 ส่งผลให้พวกเขาได้แชมป์มาครองสมใจ

Photo by John Peters/Manchester United via Getty Images

ปี 2013 : เฟอร์กี้วางมืออย่างยิ่งใหญ่

วันที่ 8 พฤษภาคม 2013 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศวางมือจากการทำทีมฟุตบอลในวัย 71 ปี

ตลอด 27 ปีที่คุมทีมในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด กุนซือมือฉมังคนนี้พาทีมกวาดไปถึง 38 ถ้วย มากกว่าผู้จัดการทีมคนไหนในประวัติศาสตร์สโมสรฟุตบอล

ในปีนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถทวงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกคืนจากคู่อริร่วมเมืองได้ นับเป็นการวางมือที่สมบูรณ์แบบ

“ผมคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีในการเกษียณ ผมออกจากสโมสรในช่วงที่ทีมกำลังแข็งแกร่งที่สุด” บรมกุนซือกล่าว


ปี 2014 : ฝันร้ายของทีมชาติบราซิล

ฟุตบอลโลกปี 2014 จัดขึ้นที่ประเทศบราซิล ทิศทางของทีมเจ้าภาพดูจะสดใส เหลือเพียงต้องผ่านทีมชาติเยอรมนีเพื่อเข้าชิง แต่ในเกมนี้ขุนพลแซมบ้าถูกนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 11 ก่อนจะหมดครึ่งแรกด้วยสกอร์ 5-0 ต่อมาในครึ่งหลัง อันเดร เชือร์เลอ (Andre Schurrle) ตอกย้ำความอับอายให้เจ้าบ้าน ด้วยการทำประตูที่ 6 และ 7 จบเกมด้วยสกอร์ 7-1

ในประเทศบราซิลถึงกับมีการล้อเลียนผลการแข่งขันนัดนี้ ด้วยประโยค “Set a um” (เจ็ดต่อหนึ่ง)

ปี 2015 : การคอร์รัปชั่นของฟีฟ่า

ในปี 2015 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา และสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ฟ้องร้องและสอบสวนสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (FIFA) ถึงกรณีทุจริตที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน เดือนธันวาคมปีเดียวกัน เจ้าหน้าที่ฟีฟ่า 16 คนถูกควบคุมตัว ตามมาด้วยการจับกุม 2 รองประธานบริหารฟีฟ่า และประธานสหพันธ์ฟุตบอลบราซิล ข้อหาเกี่ยวพันกับสินบนเป็นเงินกว่า 6,000 ล้านบาท รวมถึงการตัดสินใจเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ปี 2018 และกาตาร์ ปี 2022

เหตุการณ์ในปีนี้นับเป็นการสังคายนาครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอล และเป็นรอยแผลใหญ่ในประวัติศาสตร์อีกด้วย

Photo by Laurence Griffiths/Getty Images

ปี 2016 : เทพนิยายพรีเมียร์ลีก

ปี 2015 เลสเตอร์ ซิตี้ แต่งตั้งกุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี (Claudio Ranieri) ขึ้นมาแทน ไนเจล เพียร์สัน (Nigel Pearson) ทุกคนมองไปในทางเดียวกันว่า ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนจะต้องพบกับความยากลำบากในการคุมทีม แต่เรื่องราวเทพนิยายก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อขุนพลจิ้งจอกสีน้ำเงินทำผลงานได้ดีเกินคาด ขับเคี่ยวกับสเปอร์ส อาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในหัวตาราง แล้วจบด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง หลังจากที่เชลซีกับสเปอร์สเสมอกันในนัดสุดท้าย

ปี 2017 : ค่าตัวสถิติโลกของเนย์มาร์

วันที่ 3 สิงหาคม 2017 สโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซื้อตัว เนย์มาร์ (Neymar) จากสโมสรบาร์เซโลนา ทำให้กองหน้าชาวบราซิลกลายเป็นนักฟุตบอลค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 222 ล้านยูโร และคงจะอีกนานกว่าจะมีการย้ายทีมครั้งไหนทำลายสถิตินี้ลงได้

เมื่อเทียบกับผลงานที่ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีจนคุ้มค่าตัว สามารถสรุปได้เลยว่า ค่าตัว 222 ล้านยูโร ดูจะแพงเกินไปมากสำหรับนักเตะวัย 27 ปีรายนี้

Photo by Marco Canoniero/LightRocket via Getty Images

ปี 2018 : ลูกเตะแห่งทศวรรษของโรนัลโด้

ตลอดทศวรรษในวงการลูกหนังมีประตูที่สวยงามเกิดขึ้นมากมาย แต่คงมีไม่มากนักที่ใกล้เคียงกับประตูที่ คริสเตียโน โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) แห่งทีมเรอัล มาดริด จักรยานอากาศใส่สโมสรยูเวนตุส ในการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2018 กระทั่งกองเชียร์ทีมยูเวนตุสถึงกับยืนขึ้นปรบมือให้ในความยอดเยี่ยมของประตูนี้

ในปีเดียวกัน โรนัลโด้ย้ายจากเรอัล มาดริด ไปยังยูเวนตุส เพื่อหาความท้าทายใหม่ และประตูดังกล่าวก็ได้รับรางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (UEFA Goal of the Season) เหนือประตูที่ แกเร็ธ เบล (Gareth Bale) จักรยานอากาศใส่ลิเวอร์พูล ในนัดชิงแชมป์ฤดูกาลเดียวกัน

ปี 2019 : ลิเวอร์พูลไม่ยอมแพ้

ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบรองสุดท้าย บาร์เซโลนาจัดการลิเวอร์พูลด้วยผล 3-0 ที่คัมป์นู ทำให้ความหวังของลิเวอร์พูลช่างริบหรี่ อย่างไรก็ตาม ในนัดถัดมาที่แอนฟิลด์ พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ และประตูแรกของหงส์แดงก็เกิดขึ้นเพียงแค่นาทีที่ 7 เท่านั้น


จุดเปลี่ยนของเกมอยู่ที่ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม (Georginio Wijnaldum) ถูกเปลี่ยนตัวลงมา และยิงประตูได้ในนาทีที่ 52 และ 54 ทำให้สกอร์รวมเป็น 3-3 แต่พวกเขายังไม่หยุดเท่านั้น ความฉลาดในการใช้โอกาสทีเผลอจากลูกเตะมุมของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (Trent Alexander-Arnold) ทำให้ลิเวอร์พูลได้ประตูชัยจาก ดีว็อก โอริกี (Divock Origi) ส่งผลให้ลิเวอร์พูลผ่านเข้าไปชิงแชมป์กับสเปอร์ส และคว้าแชมป์สมัยที่ 6 มาครองได้อย่างยอดเยี่ยม