“โนเล” ถูกปรับตกรอบ เพราะตีลูกโดนผู้กำกับเส้น

AP Photo/Seth Wenig
อาฮุย แผ่นดินใหญ่ : เรื่อง

เกมกีฬาช่วงโควิด-19 เริ่มทยอยกลับมาแข่งขันกันบ้างแล้ว บรรยากาศยังไม่คึกคักเหมือนเก่า สภาพความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้มาจากการลุ้นเกมแข่ง ในสถานการณ์แบบนี้ บางที “ความเข้มข้น” ก็มาจากดราม่า ดังเช่นในแวดวงเทนนิสซึ่งรายการแกรนด์สแลมปลายปีมีประเด็นให้ถกเถียงกัน เมื่อ โนวัค ยอโควิช นักหวดมือวางอันดับ 1 ของรายการถูกปรับตกรอบเนื่องจากตีลูกใส่ผู้กำกับเส้น

ศึกเทนนิสยูเอส โอเพ่น แกรนด์สแลมรายการใหญ่ของปีเดินหน้าแข่งขันในสภาพสนามปิด บรรยากาศแตกต่างจากที่เคยเป็น อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่วายเป็นปรากฏเหตุการณ์ร้อนให้พูดถึงกันต่อเนื่องหลายสัปดาห์ และอาจจารึกเป็นอีกหนึ่งวาระในความทรงจำของแฟนเทนนิสก็ว่าได้

เรื่องราวเกิดขึ้นในเกมชายเดี่ยวรอบ 4 โนวัค ยอโควิช พบกับ ปาโบล คอร์เรโน เกมนี้โนเลอารมณ์เสียหลายจังหวะ ช่วงต้นเกมก็มีอาการเจ็บไหล่ด้วย และมีตีลูกอัดแผงกั้นมาก่อนอีกจังหวะ กระทั่งจังหวะหนึ่งในช่วงตามหลัง 5-6 เกมในเซตแรก โนเลล้วงมือไปหยิบลูกในกระเป๋ากางเกง และใช้แร็กเกตตีลูกไปที่ท้ายคอร์ต (โดยไม่ทันมองก่อน) ลูกเทนนิสดันลอยไปโดนคอของผู้กำกับเส้นหญิงจนเธอล้มลงไปนอนเลยทีเดียว

หลังจากเคลียร์ผู้บาดเจ็บ และเจรจากับเจ้าหน้าที่ดูแลการแข่งขันระยะหนึ่ง นักหวดชาวเซอร์เบียก็ถูกปรับตกรอบไปทันที แม้ โนวัค ยอโควิช จะอธิบายในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า เขาเสียใจกับเรื่องที่เกิด และยืนยันว่าเขาไม่ได้ตั้งใจตีลูกให้โดนผู้กำกับเส้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เขารู้สึกเสียใจอย่างมากที่ทำให้ผู้กำกับเส้นลำบาก ขณะที่อาการของผู้กำกับเส้นที่เป็นสุภาพสตรีก็ดีขึ้นตามลำดับแล้ว

เหตุการณ์นี้มีควันหลงตามมาด้วย เมื่อแฟน ๆ ของโนเลต่างแสดงความไม่พอใจผู้กำกับเส้นในโลกออนไลน์ไปถึงขั้นขู่ฆ่าเลย ยอโควิชต้องออกโรงเบรกอารมณ์เดือดของแฟน ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเสียดายแทนโนเล ไม่เพียงแค่โอกาสคว้าแกรนด์สแลมสมัยที่ 18 เท่านั้น การถูกปรับตกรอบครั้งนี้ยังทำให้โนเลสูญเสียเงินและโอกาสล่าเงินรางวัลรวมแล้วคิดเป็นมูลค่าประมาณ 267,500 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเขาโดนปรับหมื่นดอลลาร์สหรัฐสำหรับพฤติกรรมในสนาม และอีก 7,500 ดอลลาร์สหรัฐจากที่พลาดแถลงข่าวหลังเกม ขณะที่เงินรางวัลจากรายการก็หายไปราว 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ

นักวิเคราะห์มองว่า ความผิดพลาดครั้งนี้ยังเสียหายต่อรายการโดยรวมด้วย ยูเอส โอเพ่น นอกจากจะแข่งแบบไม่มีผู้ชมแล้ว โนเลยังเป็นผู้เล่นระดับสตาร์ของฝ่ายชายเพียงรายเดียวที่ลงแข่งรายการนี้ ยูเอส โอเพ่นครั้งนี้ไม่มีชื่อ ราฟาเอล นาดาล ที่เลือกอยู่ในสเปน เตรียมตัวลงเล่นรายการคอร์ตดินมากกว่า ส่วน โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ก็ยังพักฟื้นจากการผ่าตัดหัวเข่า

ประเด็นคำถามที่ตามมาจากผู้ชมบางรายในช่วงแรกคือ นักกีฬาที่ระเบิดอารมณ์โดยไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครโดยตรง จำเป็นต้องถูกลงโทษขั้นรุนแรงปรับแพ้เลยหรือ หากเทียบกับเคสลักษณะใกล้เคียงกันที่เซเรน่า วิลเลียมส์ นักเทนนิสระดับดาวดังอารมณ์เสียเช่นกันในยูเอส โอเพ่น 2018 ครั้งนั้นเธอรับโทษตัดแต้มจากเหตุที่เธอใช้วาจาไม่เหมาะสมต่อผู้ตัดสิน และทำลายอุปกรณ์ของตัวเอง

หากมาพิจารณาตามข้อเท็จจริงและเคสที่ผ่านมา จะพบว่าก่อนหน้านี้เคยปรากฏเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว เมื่อปี 2017 เดนิส ชาโปวาลอฟ นักเทนนิส ทีมแคนาดา ตีลูกไปโดนผู้ตัดสินในศึกเดวิสคัพ ซึ่งทำให้เขาโดนปรับ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ จนโดนปรับแพ้ หรือกรณีของ ไมเคิล โมห์ นักหวดอเมริกันก็โยนแร็กเกตไปโดนผู้กำกับเส้นเช่นกัน อีกกรณีในความทรงจำคือเมื่อปี 1995 ทิม เฮนแมน ตีลูกไปโดนบอลเกิร์ล จนกลายเป็นผู้เล่นคนแรกในวงการเทนนิสนับตั้งแต่ปี 1968 ที่โดนปรับแพ้ในวิมเบิลดัน อีกหนึ่งรายการแกรนด์สแลม ซึ่งแต่ละเคสล้วนแล้วไม่มีเจตนาทั้งสิ้น แต่ผู้ก่อเหตุก็โดนปรับแพ้เหมือนกัน

นอกจากนี้ เกล เดวิด แบรดชอว์ อดีตรองประธานเอทีพีทัวร์ที่เกษียณงานแล้วยังให้สัมภาษณ์ว่า ผู้เล่นสามารถถูกปรับแพ้ได้เมื่อขว้างลูกหรือแร็กเกตไปโดนผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าผู้ก่อเหตุจะไม่มีเจตนาก็ตาม เมื่อมีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้น ย่อมเข้าองค์ประกอบและถือเป็นดุลพินิจของผู้ตัดสินที่จะดำเนินการตามระเบียบ

ในแง่นี้ก็มีเสียงชื่นชมผู้ตัดสินที่กล้าตัดสินตามระเบียบแบบแผนโดยไม่เกรงใจหรือเลือกปฏิบัติสำหรับกรณีที่เป็นผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ แน่นอนว่าเหตุการณ์ควรเป็นไปแบบนั้นอยู่แล้วโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นมือวางอันดับเท่าไหร่ก็ตาม

พอจะกล่าวได้ว่า กรณีของยอโควิช จะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในความทรงจำ และถือเป็นครั้งแรกของเทนนิสยุคใหม่ที่มือวางอันดับ 1 ของรายการจะโดนปรับตกรอบระหว่างแข่งรายการระดับแกรนด์สแลม และเป็นประสบการณ์แรกของยอโควิช วัย 33 ปีด้วย ซึ่งคงจดจำเป็นบทเรียนสำคัญ ทั้งสำหรับผู้ก่อเหตุเองและอาจเป็นตัวอย่างสำหรับคนทั่วไปได้เช่นกัน