คนไทยได้เฮ! ช้างศึกแม่นโทษคว่ำเบลารุส 5-4 ซิวแชมป์คิงส์คัพสมัยที่ 15

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 45 เมื่อ 16 ก.ค. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน รอบชิงชนะเลิศ “ช้างศึก”ทีมชาติไทย แชมป์เก่าและแชมป์ 14 สมัยลงสนามพบเบลารุส เกมนี้ มิโลวาน ราเยวัช หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยยังยึดผู้เล่นชุดเดิมจากเกมนัดแรก ซึ่งแนวรุกนำทัพโดย อดิศักดิ์ ไกรษร, มงคล ทศไกร และ ธีราทร บุญมาทัน



เริ่มเกมไทยเปิดหน้าบุกเข้าใส่ทันที แต่ว่านาทีที่ 6 เบลารุส ได้โอกาสลุ้นก่อนจากการยิงของ ชัวเชนก้า ยัวเฮนี่ แต่กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ยังปัดออกหลัง ถัดมานาทีเดียว ไทยได้โอกาสกลับเร็ว พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา กระชากจากกลางสนามได้ยิงเต็มข้อแต่ผู้รักษาประตูเบลารุสยังล้มตัวปัดออกมาได้ทัน

นาที 18 ไทยเกือบได้ประตูขึ้นนำจากการเปิดริมเส้นของ ธีราทร บุญมาทัน ให้ อดิศักดิ์ ไกรษร ได้พุ่งโหม่งแต่โดนไม่ดีบอลข้ามคานออกหลัง เกมผ่าน 25 นาทีไทยเริ่มเพลาเกมบุกปล่อยให้เบลารุสได้ครองบอลมากขึ้น โดยช้างศึกรอดักตัดเกมเพื่อหาโอกาสสวนกลับเร็ว

จากนั้นทั้งสองทีมยังเน้นเกมแดนกลางเป็นหลักแม้ว่าจะพยายามหาโอกาสเข้าทำประตูแต่การขึ้นบอลไปแดนหน้ายังไม่แน่นอนเท่าที่ควรทำให้จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0

ครึ่งหลังทั้งสองทีมยังไม่เร่งเกมบุกมากเท่าไหร่ กระทั่งนาที 58 ไทยต้องปรับทัพครั้งแรกด้วยการถอด อดิศักดิ์ ไกรษร ออกพร้อมกับส่ง สิโรจน์ ฉัตรทอง ลงเล่นแทน เกมไทยยังไม่ดีขึ้นนาที 68 ต้องปรับทัพอีกครั้งด้วยการถอด สรรวัชญ์ เดชมิตร ออกพร้อมกับส่ง ธีรเทพ วิโนทัย ลงเล่นแทน

นาที 83 ไทยเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายด้วยการส่ง ฟิลิป โรลเลอร์ ลูกครึ่งไทย-เยอรมันลงสนามแทน มงคล ทศไกร ช่วง 5 นาทีสุดท้ายเบลารุส โหมบุกหนักและได้ลุ้นยิงติดๆ กันหลายครั้งแต่กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ยังป้องกันได้

ช่วงนาทีสุดท้ายไทยได้ลุ้นจากลูกฟรีคิกหน้าปากประตู ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ รับหน้าที่ปั่นโค้งผ่านกำแพงเบลารุสไปแล้วแต่บอลตกพื้นกระดอนถากเสาประตูออกหลังอย่างน่าเสียดายทำให้หมดเวลาทั้งสองทีมเสมอ 0-0 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการดวลลูกโทษที่จุดโทษ และเป็น กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่เซฟหนึ่งจุดโทษ แต่พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา ยิงข้ามคาน เสมอกัน 4-4 ต้องไปลุ้นต่อในช่วงซัดเดนเดธ  อาเดรียน สปีดอฟ ยิงติดเซฟกวินทร์ และเป็น สิโรจน์ ฉัตรทอง ยิงปิดท้ายให้ไทยเอาชนะไป 5-4  คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ เป็นสมัยที่ 15

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์