“ชาเทรียม แกรนด์” บิ๊กมูฟ ธุรกิจโรงแรมกลุ่ม “โสภณพนิช”

สาวิตรี รมยะรูป
สาวิตรี รมยะรูป กรรมการผู้จัดการ “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้”
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

กว่า 20 ปีที่กลุ่มตระกูล “โสภณพนิช” ขยับเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม ด้วยการปักหมุดลงทุนที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ภายใต้แบรนด์ “นิกโก้” และได้รีแบรนด์เป็น “ชาเทรียม” ในปี 2551 ปีที่ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและเรซิเดนซ์ “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้” (Chatrium Hospitality)

วันเวลาผ่านไป 14 ปี “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้” มีโรงแรมและเรซิเดนซ์ ภายใต้การบริหารจำนวน 11 แห่ง อาทิ ชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ, เอ็มโพเรียม สวีท บาย ชาเทรียม, ชาเทรียม เรซิเดนซ์ สาทร กรุงเทพฯ, มายเทรียณ์ สุขุมวิท 18, ชาเทรียม โรยัล เลค ย่างกุ้ง เป็นต้น และกำลังจะเปิดตัวแห่งที่ 12 คือ โรงแรม “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ” ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 นี้

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “สาวิตรี รมยะรูป” ลูกสาวเจ้าสัวชาตรี โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการ “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้” ถึงแนวคิด การลงทุน และพัฒนาธุรกิจโรงแรมและเรซิเดนซ์ของกลุ่มตระกูลโสภณพนิช ไว้ดังนี้

ยึดคอนเซ็ปต์ “รร.+เรซิเดนซ์”

“สาวิตรี” บอกว่า ที่ผ่านมากลุ่มชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้ ลงทุนและบริหารโรงแรมและเรซิเดนซ์รวม 11 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนและบริหารเองเกือบทั้งหมด ทำให้ธุรกิจในกลุ่มฮอสพิทอลลิตี้ขยายตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไป มุ่งเน้นพัฒนา บริหาร และสร้างแบรนด์แบบคุณภาพ

โดยในช่วงวิกฤตโควิดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม “ชาเทรียม” ถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น แม้ว่าโรงแรมปิดให้บริการตามประกาศของรัฐ แต่เนื่องจากบริษัทมีธุรกิจในส่วนของ “เรซิเดนซ์” สำหรับรองรับผู้เข้าพักเป็นระยะยาว และมีการทำแพ็กเกจ staycation มาช่วยสร้างรายได้คู่ขนานกับร้านอาหารที่ขึ้นชื่อของโรงแรม

“โมเดลธุรกิจของเราคือ พร็อพเพอร์ตี้ส่วนใหญ่มีทั้งโรงแรมและเรซิเดนซ์อยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีความเสี่ยงน้อย”

มั่นใจท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็ว

“สาวิตรี” บอกด้วยว่า หลังโควิด-19 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมจะกลับมาฟื้นตัวดีและเร็ว โดยคาดการณ์กันว่าจะมีนักเดินทางที่จะเข้าประเทศไทยถึง 28 ล้านคน ในปี 2566

นอกจากนี้ยังมีนักเดินทางตลาดใหม่ ๆ เข้ามาอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มตะวันออกกกลาง (UAE), ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย, อินเดีย ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มองหาที่พักกลางใจเมือง

ขณะเดียวกันตลาดประชุมสัมมนา (ไมซ์), คอร์ปอเรต, เลเชอร์, เมดิคอล & เวลเนส ฯลฯ ก็ล้วนเป็นส่วนสำคัญของการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวด้วย

“สำหรับตลาดประเทศไทยทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเราสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งรอบนี้ก็พบว่าตั้งแต่เปิดประเทศเมื่อเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกเดือน กระทั่งทะลุเดือนละ 1 ล้านคนได้ในเดือนกันยายน จึงเชื่อว่าสถานการณ์จะยิ่งดีขึ้นอีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้”

ปรับตัวรับตลาดเปลี่ยน

“สาวิตรี” ให้ข้อมูลด้วยว่า หลังโควิด-19 นี้ธุรกิจโรงแรมจะมีการปรับตัวในหลาย ๆ ด้าน เช่น ขยายเซ็กเมนต์โรงแรมให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป และรองรับลูกค้าได้หลากหลาย รวมถึงยึดมั่นดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม

โดยปัจจุบันกลุ่ม “ชาเทรียม” แบ่งโรงแรมออกเป็น 3 กลุ่ม ภายใต้ 3 แบรนด์ ประกอบด้วย 1.ชาเทรียม (Chatrium) โรงแรมมาตรฐาน 5 ดาว 2. มายเทรียณ์ (Maitria) โรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับ 4 ดาว

และ 3. ชาเทรียม แกรนด์ (Chatrium Grand) โรงแรมมาตรฐาน 5 ดาว + แบรนด์ใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเปิดให้บริการบนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ในช่วงปลายปีนี้

เพิ่มบทบาท “รับบริหาร”

นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มโรงแรมในเครือข่ายอีกจำนวน 5 แห่ง ภายใน 3 ปีข้างหน้า ทั้งในประเทศไทย เช่น ภูเก็ต, สมุย และต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเปิดในเวียดนามและอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ นอกจากรูปแบบการลงทุนเอง บริหารเองแล้ว “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้” ยังพร้อมสำหรับการเพิ่มบทบาทเป็น “ผู้รับบริหาร” อีกรูปแบบหนึ่งด้วย

โดยเชื่อว่าการบริการที่อบอุ่นแบบไทยแท้ยังเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งที่ครองใจคนทั่วโลก โดย “ชาเทรียม” ได้นำบริการแบบไทย เสน่ห์ของความเป็นไทย มารวมกับมาตรฐานการบริการอื่น ๆ ที่เทียบเท่าสากล ทั้งเทคโนโลยี ความทันสมัย ฯลฯ จะแข่งขันกับแบรนด์ทั่วโลกอื่น ๆ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลงรักและจดจำแบรนด์ได้

“ชาเทรียม แกรนด์” คือบิ๊กมูฟ

ลูกสาวเจ้าสัวแห่งตระกูล “โสภณพนิช” บอกอีกว่า สำหรับโรงแรม “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ” แบรนด์ใหม่ล่าสุดที่มีแผนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ 28 พฤศจิกายน 2565 นี้ จะถือเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของกลุ่ม “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้”

เนื่องจาก “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพ” เป็นโรงแรมระดับลักเซอรี่ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ด้วยงบลงทุนรวม 5,500 ล้านบาท ก้าวเข้าสู่ระดับสูงสุดของธุรกิจการบริการ กล่าวคือ เทียบชั้นกับแบรนด์ระดับโลกอื่น ๆ เช่น Park Hyatt, Grand Hyatt และ Hyatt Regency

ให้บริการห้องพักและห้องสวีทรวม 582 ห้อง ประกอบด้วยห้องพักขนาดตั้งแต่ 46 ตารางเมตร ไปจนถึงเพนต์เฮาส์ ขนาด 321 ตารางเมตร ทุกห้องตกแต่งสไตล์เรียบหรู มีหน้าต่างแบบพาโนรามาพร้อมวิวเมืองที่สวยงาม เทคโนโลยีล้ำสมัย สร้างประสบการณ์เสมือนบ้านสำหรับแขกที่เข้าพัก และตอบโจทย์การท่องเที่ยวยุคใหม่

“โรงแรมแห่งนี้เราสร้างขึ้นใหม่บนพื้นที่เดิมของอพาร์ตเมนต์ที่เราเป็นเจ้าของและบริหารเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งการพัฒนานี้เป็นของ City Realty ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของตระกูลโสภณพนิช โดยมองว่าสยามเป็นพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด”

โดยจุดเด่นของแบรนด์คือ บริการส่วนบุคคล โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อยกระดับประสบการณ์ส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง และเป็นศูนย์รวมของอาหารอร่อยหลากหลายสัญชาติ รวมถึงสุดยอด “ทำเล” ที่เป็น Super prime (สยาม)

การเปิดตัวของ “ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ” จึงนับเป็น “บิ๊กมูฟ” ครั้งใหญ่ของกลุ่ม “ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้” และการขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมและเรซิเดนซ์ของตระกูล “โสภณพนิช” อย่างแท้จริง