เอส โฮเทล เปิดกลยุทธ์ 3P กวาดรายได้ปี’66 ทะลุ 1 หมื่นล้าน

ครอสโรดส์ มัลดีฟส์
ครอสโรดส์ มัลดีฟส์

“เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ประกาศแผนปี 2566 สร้างรายได้ 1 หมื่นล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ 3P : Profit-Portfolio-Planet สร้างผลกำไร ขยายพอร์ตธุรกิจ พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ยั่งยืน ตั้งเป้าเบอร์ 2 ผู้บริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดของไทยต่อเนื่อง

วันที่ 14 มีนาคม 2566 นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การกลับมาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง บวกกับกลยุทธ์ผลักดันธุรกิจและเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ทำให้ธุรกิจของ SHR เติบโตได้เต็มอัตรา และมีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของโรงแรมในหลายประเทศ

โดยสามารถปรับค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน หรือ ADR ในระดับที่สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 และเป็นระดับที่สูงที่สุดมาตั้งแต่เปิดให้บริการมาอีกด้วย ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของโรงแรมในประเทศไทยยังอยู่ในทิศทางก้าวกระโดดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ส่งผลให้บริษัทมีรายได้ 5.7 พันล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ และก้าวขึ้นแท่นผู้บริหารจัดการโรงแรมของไทยที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีที่ผ่านมา

เดิร์ก เดอ คุยเปอร์
เดิร์ก เดอ คุยเปอร์

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการยกย่องให้บรรจุอยู่ใน “รายชื่อหุ้นยั่งยืน” ประจำปี 2565 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พร้อมคะแนนจากการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (5 ดาว) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมรักษาความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสังคมที่มีคุณภาพ”

นายเดิร์กกล่าวว่าสำหรับปี 2566 นี้บริษัทจะเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ 3P ประกอบด้วย Profit-Portfolio-Planet โดยในส่วนของ Profit นั้นจะผลักดันผลประกอบการให้เติบโตโดดเด่น เสริมจุดแข็งธุรกิจ และการขยายช่องทางการขาย เพื่อดึงดูดลูกค้าที่หลากหลายจากทุกมุมโลก เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มศักยภาพ

โดยตั้งเป้าเป็นเบอร์ 2 ผู้บริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง และมีรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 20% จากปีก่อน ซึ่งมาจากความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอ (diversified portfolio) ที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มจากทั่วโลก

ทั้งนี้ คาดว่าโรงแรมประเทศไทยทั้ง 4 แห่งของบริษัทจะเป็นฟันเฟืองหลักในการผลักดันการเติบโตของปี 2566 นี้ ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ประมาณ 60% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราส่วน 16% ของรายได้รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์และสหราชอาณาจักรจะเติบโตขึ้น 30% และ 10% จากปีก่อน คิดเป็นอัตราส่วน 31% และ 36% ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นความสำคัญของการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามาใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการกำหนดราคาห้องพักของโรงแรมในเครือให้เหมาะสมตามฤดูกาลและตอบสนองความต้องการแบบเรียลไทม์ สามารถบริหารจัดการรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มอัตราการจองห้องพักโดยตรง และผลักดันค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนด้าน Portfolio นั้น การสร้างผลกำไรและการขยายพอร์ตธุรกิจให้มีความหลากหลาย คือรากฐานที่สำคัญสู่การต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทวางกลยุทธ์เพื่อขยายพอร์ตธุรกิจผ่านสามแนวทางสำคัญ ได้แก่ การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ โดยจะขายสินทรัพย์ที่มีการเติบโตจนเต็มมูลค่าแล้ว เพื่อนำรายได้จากการขายผนวกกับการลงทุนเพิ่มเติมอีกราว 16 ล้านปอนด์ ไปพัฒนาสินทรัพย์ศักยภาพสูงที่สามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

โดยกลุ่มโรงแรมที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือธุรกิจในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะทำให้สามารถปรับขึ้นอัตรา ADR ได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับปี 2565

รวมถึงโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงห้องพักในเฟสแรกเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 และในปีนี้ได้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น แกลลอรี่ท้องถิ่น คาเฟ่พร้อมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality Café) และท่าจอดเรือ super yacht ขนาดใหญ่ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าประทับใจ

และเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อ ณ ทราย รีสอร์ท 2 แห่งในไทย ได้แก่ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) และทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) มีแผนที่จะปรับปรุงตั้งแต่ปี 2566-2567

ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ
ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ

ขณะที่ โรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท (Outrigger Fiji Beach Resort) เริ่มแผนการปรับปรุงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 นี้ เพื่อรองรับเทศกาลแห่งการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี

“ด้วยแผนทั้งหมดภายใต้งบฯลงทุนประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท เราคาดว่าจะช่วยให้เราสามารถบรรลุแผนในการปรับอัตราค่าห้องพักสำหรับห้องที่ปรับปรุงขึ้นได้อีกราว 15-40%” นายเดิร์กกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังวางงบลงทุนเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า อยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว เพื่อสร้างความหลากหลายให้พอร์ตมีศักยภาพและสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้และยังสามารถลดความผันผวนทางฤดูกาล ของโรงแรมในเครือได้อีกด้วย

โดยเบื้องต้นยังคงศึกษาสินทรัพย์ในแถบชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศไทย ขณะเดียวกัน ยังมีแผนที่จะขยายกิจการด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ซึ่งจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีกทางหนึ่ง โดยได้มีการพัฒนาร่วมทุนกับพันธมิตร อาทิ SO/Maldives ไลฟ์สไตล์สุดทันสมัยในโครงการแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่พร้อมจะเปิดตัวโครงการราวไตรมาส 4 ปีนี้

สำหรับกลยุทธ์ด้าน Planet หรือการส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ยั่งยืนนั้นบริษัทได้รับนโยบายจากสิงห์ เอสเตท ด้วยวิสัยทัศน์ sustainable diversity สร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ (supply chain) ในทุกมิติ

โดยตั้งเป้าลดคาร์บอนและทดแทนการใช้พลังงานฟอสซิลด้วยพลังงานสะอาดด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงแรมในเครือ ในประเทศไทยและมัลดีฟส์ รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ราว 2.8 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทำให้สามารถบริหารต้นทุนทางพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย