สมาคมโรงแรมไทยเผยเดือน มี.ค. มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 66% ใกล้เคียงเดือนก่อน จากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 หนุนโรงแรมใหญ่ปรับขึ้นราคา ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมีอัตราการเข้าพักไตรมาสแรกยังต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19
วันที่ 8 เมษายน 2566 รายงานข่าวจากสมาคมโรงแรมไทย (THA) เปิดเผยว่า สมาคมโรงแรมไทยได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรมเดือนมีนาคม 2566 (Hotel Business Operator Sentiment Index) ซึ่งทำการสำรวจระหว่าง 9-16 มีนาคม 2566 พบว่า อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 66%
โดยอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลักปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามการใช้สิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 หากพิจารณารายภูมิภาค พบว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมในเกือบทุกภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ยกเว้นภาคตะวันออกที่นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางกลับประเทศ และภาคเหนือที่เผชิญปัญหาหมอกควัน ทั้งนี้ คาดการณ์อัตราการเข้าพักโดยรวมในเดือนเมษายน 2566 อยู่ที่ 60%
และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวส่งผลให้โรงแรมบางส่วนสามารถปรับราคาห้องพักได้ โดยเฉพาะโรงแรมตั้งแต่ 5 ดาวขึ้นไป โดย 74% มีราคาห้องพักเฉลี่ยสูงกว่าก่อนโควิด ขณะที่โรงแรมไม่เกิน 4 ดาวยังปรับราคาได้จำกัด
รายงานข่าวระบุด้วยว่า สถานการณ์โรงแรมในช่วงไตรมาส 1/2566 ส่วนใหญ่มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นหรือใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 4/2565 โดยโรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก (สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 50% ของลูกค้า) คาดว่าจะมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเป็นสัดส่วนมากกว่าโรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก สำหรับไตรมาส 2/2566 คาดว่าจำนวนลูกค้ามีแนวโน้มชะลอลงจากไตรมาส 1/2566 เนื่องจากหมดฤดูกาลท่องเที่ยวของกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป
นอกจากนี้ ยังยังพบว่าภายหลังจีนเปิดประเทศ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่า ในไตรมาส 1/2566 นักท่องเที่ยวจีนยังกลับมาไม่มากนัก สะท้อนจากผู้ตอบกว่า 70% มองว่าสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าพักยังน้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (Free Individual Traveler : F.I.T.)
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในไตรมาส 2/2566 จะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น แต่ประมาณ 80% ของผู้ตอบมองว่าสัดส่วนที่กลับมาจะยังต่ำกว่า 40% เมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด