“ดิเอราวัณ” เพิ่มดีกรีลงทุน โฟกัสระดับกลาง-บัดเจต

“ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” เพิ่มดีกรีลุยลงทุนโรงแรมระดับกลาง-บัดเจต กางแผนเปิดโรงแรมใหม่ทั้งในไทย-ฟิลิปปินส์ปีนี้อีก 9 แห่ง เผยเตรียมเปิดให้บริการโมเดล 2 แบรนด์ในอาคารเดียว โครงการที่ 2 ในกรุงเทพฯ หลังปักธงทำเลฮอตสุขุมวิท 24 ในปีหน้า

นางสาวกันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปี 2561 จะมีรายได้เติบโต 10% เมื่อเทียบกับรายได้จากการประกอบกิจการโรงแรมปี 2560 ซึ่งปิดไปที่ 5,773 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้มีแผนขยายธุรกิจเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพัก 1,157 ห้อง

ทั้งนี้ เพื่อขยายฐานโรงแรมระดับกลางและบัดเจต แบ่งเป็นแบรนด์ ฮ็อป อินน์ 4 แห่ง และอีก 2 แห่งในกรุงเทพฯ คือ โรงแรมโนโวเทล และโรงแรมไอบิส สไตล์ สุขุมวิท 4 รวมถึงเตรียมเปิดโรงแรมแบรนด์ ฮ็อป อินน์ อีก 3 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์ ส่งผลให้สิ้นปีนี้บริษัทจะเป็นเจ้าของโรงแรมทั้งหมด 61 แห่ง และมีห้องพักรวม 8,485 ห้อง นอกจากนี้ยังปรับปรุงห้องพักโรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเพิ่มผลตอบแทนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ

การเติบโตของบริษัทยังได้แรงหนุนจากภาพรวมแนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ ที่คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยราว 37 ล้านคน และทำรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10% ขณะเดียวกันรัฐบาลยังได้ออกนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของเมืองรองเพื่อให้มีการกระจายการท่องเที่ยวและรายได้สู่ท้องถิ่นมากขึ้น

สำหรับโรงแรมฮ็อปอินน์ ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 32 แห่ง ครอบคลุมหลายเมืองในไทย มีอัตราเข้าพักที่ดีอยู่ในระดับ 90% ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในโลเกชั่นเออร์มิต้า มีอัตราเข้าพักมากกว่า 80% ส่วนที่มากาติมีอัตราเข้าพักมากกว่า 60% และมีแผนจะเปิดในกรุงมะนิลาอีก 3 แห่งในปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมใหม่อีก 2 แห่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเตรียมเปิดให้บริการในปี 2563 คือ โรงแรมฮ็อปอินน์ และฮอลิเดย์อินน์ที่แบรนด์หลังบริษัทซื้อแฟรนไชส์มาบริหารเอง ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ในเมืองเซบู เมืองอันดับ 2 ของฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว โดยเมื่อปี 2559 มีจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 4.1 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ 50%

“ปีนี้บริษัทวางกรอบค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ไว้ที่ 3,200 ล้านบาท ขณะที่ปี 2562-2563 วาง CAPEX ไว้ที่ 4,300 ล้านบาท เป็นไปตามยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัท ที่วางงบฯ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายสำหรับการลงทุนตั้งแต่ปี 2559-2563” นางสาวกันยะรัตน์กล่าวและว่า

ส่วนปี 2562 บริษัท มีแผนเปิดโรงแรมใหม่ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่รวม 2 แบรนด์คือ เมอร์เคียว และไอบิสไว้ในอาคารเดียว บริเวณซอยสุขุมวิท 24 ซึ่งเป็นโมเดลการลงทุนที่ให้ผลประกอบการดี เพราะทำให้บริษัทจับตลาดลูกค้าได้กว้างขึ้น