คอลัมน์ : สัมภาษณ์
ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ธุรกิจเรือนำเที่ยว และดินเนอร์ในแม่น้ำเจ้าพระยากรุงเทพฯ คึกคักและมีสีสันอย่างมาก ผู้ประกอบการทยอยลงทุนต่อเรือออกมากันต่อเนื่อง โปรแกรมนำเที่ยวทั้งแบบล่องเรือเที่ยว และการดินเนอร์บนเรือ เป็นหนึ่งในรายการนำเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้ตลอดทั้งปี
และด้วยจุดขายที่โดดเด่นในด้านวัฒนธรรม โบราณสถานทางประวัติศาสตร์ วิถีชุมชนริมแม่น้ำ ฯลฯ และสถานที่สำคัญ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในยามค่ำคืนล้วนช่วยเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวทางน้ำของไทย
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “แพม-เมธิกา พาณิชย์ชะวงศ์” ผู้อำนวยการ เรือเดอะ โอปูเล้นท์ (The Opulence) เรือนำเที่ยวและเรือดินเนอร์น้องใหม่ในแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ ถึงแนวทางการลงทุน โอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ ไว้ดังนี้
ขยับรุกตลาดไฮเอนด์
“เมธิกา” บอกว่า เรือ “เดอะ โอปูเล้นท์” เป็นเรือลำใหม่ในกลุ่มของเรือ “เจ้าพระยาปริ้นเซส” ซึ่งปัจจุบันมีเรือให้บริการอยู่จำนวน 8 ลำ มีคุณพ่อเป็นผู้ลงทุนและบริหารอยู่ โดยเรือเจ้าพระยาปริ้นเซสจะโฟกัสกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง (Middle Class) ราคาขายอยู่ที่ระดับ 1,000-1,200 บาท
พอมาถึงรุ่นลูกซึ่งตัวเองต้องมาบริหารจึงอยากทำแบรนด์ใหม่ เจาะตลาดเซ็กเมนต์ที่ไฮเอนด์ขึ้น วางระดับราคาไว้ที่ใกล้ ๆ 2,000 บาท หรือ 2,000 บาทขึ้นไป เนื่องจากปัจจุบันเรือดินเนอร์ในกลุ่มตลาดไฮเอนด์ในแม่น้ำเจ้าพระยายังมีไม่มาก จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในทางการตลาด
“เรามองว่ายุคนี้เรื่องของโซเชียลมีเดียมีผลมากกับคนรุ่นใหม่ กลุ่มนี้ออกมาใช้จ่ายไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่ต้องการให้โลกรู้ด้วยว่าฉันไปไหนมา นิยมถ่ายรูปมุมถ่ายสวย ๆ บรรยากาศดี เขาจึงค่อนข้างเลือกและยอมใช้จ่ายกับสินค้าที่พรีเมี่ยมขึ้น”
และให้ข้อมูลว่า ในส่วนของเรือ “เดอะ โอปูเล้นท์” นั้นแม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเปิดให้บริการไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 แต่ทันทีที่ลูกค้าได้รับข้อมูล ได้เห็นภาพเรือ ภาพบรรยากาศในโซเชียลมีเดีย ก็เปลี่ยนใจมาใช้บริการทั้ง ๆ ที่จองเรือลำอื่นที่ถูกกว่าไว้แล้ว
ทุ่มหลักร้อยล้านสร้างมาตรฐานใหม่
“เมธิกา” บอกด้วยว่า เรือ “เดอะ โอปูเล้นท์” ลำใหม่นี้ลงทุนไปประมาณ 300 ล้านบาท เป็นเรือ 3 ชั้น ยาว 70 เมตร กว้าง 45 เมตร และสูงจากระดับน้ำ 6 เมตร รองรับลูกค้าได้ถึง 770 คน (ทุกคนมีที่นั่ง) เรียกว่าเป็นเรือ 3 ชั้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแม่น้ำเจ้าพระยา
โดยตัวแปรที่ทำให้ใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงนั้น เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาเรือให้มีความพรีเมี่ยม ทั้งตัวเรือ การตกแต่ง วัสดุที่ใช้บนเรือ อาหาร ฯลฯ ซึ่งเชื่อมั่นว่าทันทีที่ลูกค้าก้าวขึ้นเรือจะเห็นถึงความแตกต่างแน่นอน รวมถึงเครื่องดื่ม ค็อกเทล เหล้า ทุกอย่างจะเป็นมาตรฐานเดียวกับในโรงแรม
“เราให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นบนเรือและวางแผนใช้ทุกส่วนได้อย่างลงตัว มีความโอ่โถง โล่ง ปกติถ้าเป็นเรือ 3 ชั้น ชั้น 1 กับชั้น 2 ลูกค้าจะรู้สึกอึดอัด ไม่อยากนั่ง แต่ของเราชั้น 1 และชั้น 2 มีเพดานที่โปร่งสบายมาก”
ชูความปลอดภัยระดับสากล
นอกจากนี้ เรือลำนี้ยังมีต้นทุนอื่น ๆ ซ่อนอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะต้นทุนในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งเรือ “เจ้าพระยาปริ้นเซส” และ “เดอะ โอปูเล้นท์” เป็นเรือที่มี “ห้องอับเฉา” ซึ่งเป็นส่วนที่จะช่วยให้เรือมีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
“ห้องอับเฉา คือ ระบบป้องกันความปลอดภัย อยู่ใต้ท้องเรือ หากเกิดอุบัติเหตุเรือจะไม่จม เพราะน้ำจะไหลเข้าไปในห้องอับเฉา ซึ่งจะป้องกันเรือล่มและลดการสูญเสียได้ ลำไหนไม่มีห้องนี้เวลาเรือเกิดเหตุจะจมน้ำ แต่ของเราแม้ว่าจะชนหรือมีรอยรั่ว เรายังสามารถใช้ได้อีกหลายเดือนหรือเป็นปี ไม่กระทบอะไรเลย ดังนั้นหากพูดเรื่องความปลอดภัย เราจะเป็นที่ 1 ซึ่งเราใช้วิศวกรต่อตามหลักสากล”
เร่งปูพรมขายทุกช่องทาง
“เมธิกา” บอกอีกว่า เดิมบริษัทมีแผนเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2563 แต่ช่วงที่ต่อเรือเสร็จก็เจอกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พอดี ทำให้ต้องชะลอแผนการเปิดตัวโดยปริยาย เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง จึงได้ฤกษ์เปิดให้บริการเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดยหลังจากเปิดให้บริการได้รับการตอบรับดีเกินคาด ได้ลูกค้ากว่า 300 คนต่อวัน และมั่นใจจะเพิ่มขึ้นได้ถึงประมาณวันละ 550 คนขึ้นไปในต้นปีหน้า
“ตอนแรกในใจลุ้นว่าต้องรอให้เรือลำอื่นเต็มก่อนหรือเปล่าลูกค้าถึงจะไหลมาที่เดอะ โอปูเล้นท์ แต่จากการพูดคุยกับบรรดาเอเย่นต์ทัวร์ที่เป็นพันธมิตรให้ข้อมูลว่า ลูกค้าจำนวนมากแจ้งความประสงค์ว่าต้องเป็นเรือของเรา”
และบอกด้วยว่า ปัจจุบันหลักการทำตลาดของเรือเดอะ โอปูเล้นท์นั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับในทุก ๆ ช่องทาง ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ โดยในส่วนของออฟไลน์นั้นยังคงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับบริษัททัวร์ ขณะที่ในส่วนของออนไลน์นั้นได้มุ่งสื่อสารผ่านหลายแพลตฟอร์ม อาทิ LINE Official Account, IG, Facebook, TikTok ฯลฯ รวมถึงเว็บไซต์
มั่นใจมีโอกาสเติบโตสูง
ผู้อำนวยการเรือ “เดอะ โอปูเล้นท์” เพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว และเชื่อว่าการท่องเที่ยวของไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากมาเที่ยว จึงมั่นใจอย่างมากว่าธุรกิจเรือนำเที่ยวหรือเรือดินเนอร์ในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก
“2 ฝั่งเจ้าพระยาของเรามีไฮไลต์เยอะมาก ทั้งประวัติศาสตร์ ชุมชน วัด แหล่งท่องเที่ยว ศูนย์การค้า รวมไปถึงโรงแรมหรู สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดึงดูดให้ต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ ต้องมานั่งเรือดินเนอร์ชมบรรยากาศของแม่น้ำสายนี้”
และบอกด้วยว่า บริษัทมีแผนแกรนด์โอเพนนิ่งเรือเดอะ โอปูเล้นท์ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หลังจากนั้นจะขอประเมินสถานการณ์อีกสักระยะ หากได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมายที่วางไว้มาก อาจต้องพิจารณาลงทุนเรือลำใหม่ออกสู่ตลาดเพิ่มอีก
โดยตั้งใจปั้น “เดอะ โอปูเล้นท์” ให้เป็นดาวดวงใหม่ในแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นแลนด์มาร์กของแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย