คอลัมน์ : สัมภาษณ์
แม้จะมีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจโรงแรมมากหลายทศวรรษ รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก แต่ “มิราเคิล กรุ๊ป” ก็ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญกับปัญหาที่ต้องปรับตัวในทุกมิติ บวกกับต้นทุนการบริหารงานที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นในวันนี้
ต้นทุนสูงรอบทิศ
“ประชาชาติธุรกิจ” ร่วมสัมภาษณ์ “อัศวิน อิงคะกุล” ประธานกรรมการบริหาร “มิราเคิล กรุ๊ป” ผู้บริหารโรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น, มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น และห้องรับรองภายในท่าอากาศยานหลัก “Miracle Lounge” ถึงภาพรวมของธุรกิจโรงแรม รวมถึงแนวทางการปรับกลยุทธ์และการลงทุนใหม่ ดังนี้
“อัศวิน” บอกว่า ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับสถานการณ์ต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นทุกรายการ ทั้งค่าไฟฟ้า น้ำมัน วัตถุดิบอาหาร ฯลฯ รวมถึงค่าจ้างพนักงาน สวนทางกับรายได้ของประชาชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ทำให้การปรับขึ้นราคาห้องพักโรงแรมเป็นไปไม่ได้มาก กระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรมอย่างหนัก โดยในส่วนของ “มิราเคิล กรุ๊ป” นั้นพบว่าหลังจากโควิด-19 ธุรกิจในกลุ่มกลับมามีกำไรเฉลี่ยในระดับกว่า 10% ขณะที่ในยุคก่อนโควิดเคยมีศักยภาพในการทำกำไรได้ถึงประมาณ 30%
“คนที่อยากทำโรงแรม ผมบอกว่าอย่าทำเลย เพราะตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม ส่วนตัวผมเกิดมาเพื่อทำงานบริการก็ต้องทำต่อไป”
อย่างการลงทุนของโรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ซึ่งเป็นโรงแรมน้องใหม่นั้นถือเป็นการต่อยอดประสบการณ์ธุรกิจโรงแรมที่เคยทำมากว่า 30 ปี จึงเชื่อมั่นว่าโรงแรมแห่งนี้จะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และรองรับการบริการและการจัดงานทุกรูปแบบได้
รุกปรับมาร์เก็ตติ้งทุกมิติ
“อัศวิน” บอกอีกว่า ปัจจุบันมิราเคิล กรุ๊ป กำลังเผชิญกับปัญหาที่ต้องปรับตัว จึงได้มีการจัดทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันของตัวเอง ทางโรงแรมได้ออกแคมเปญผ่านการจำหน่ายคูปองเงินสด หรือแคชโวเชอร์ 10,000 บาท ได้มูลค่า 15,000 บาท โวเชอร์ 20,000 บาท ได้มูลค่า 30,000 บาท สามารถขายได้ถึง 40 ล้านบาท ภายในวันเดียว
พร้อมบอกด้วยว่า ยอมรับว่าหลังจากนี้ธุรกิจเหนื่อยแน่นอน เพราะนอกจากปัจจัยเรื่องค่าแรง ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ยังมีเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบภาพรวมเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศ ขณะที่ตลาดก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนมีการจัดงานแต่งงานเดือนพฤศจิกายน 60-70 คู่ แต่ปีนี้เดือนพฤศจิกายนจองไว้ 15-20 คู่เท่านั้น
ลงทุนที่พัก-คาเฟ่หรูสุวรรณภูมิ
เจ้าของมิราเคิล กรุ๊ป ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทได้เปิดบริการที่พักและคาเฟ่สุดหรู ด้วยเงินลงทุนกว่า 30 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ “Prime Sleep & Cafe by Miracle” ณ ชั้น 6 ตึกอาคารจอดรถโซน 3 ติดกับพิพิธภัณฑ์ ตรงข้าม Gate 8 อาคารผู้โดยสารขาออก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดย Prime Sleep & Cafe by Miracle เป็นบริการที่ตอบโจทย์การพักผ่อนภายในสนามบินสุวรรณภูมิของนักเดินทาง มอบประสบการณ์ระดับลักเซอรี่ให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก บนพื้นที่กว่า 600 ตารางเมตร ซึ่งออกแบบให้เป็นห้องพัก 25 ห้อง พร้อมห้องน้ำขนาด 20 ตารางเมตร ตกแต่งทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาตรฐานโรงแรม ให้บริการการเข้าพักมีทั้งแบบรายชั่วโมงและรายวัน
Sat-1 ขาดทุนยับ
ส่วนห้องพักภายในอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (อาคาร Sat-1) ซึ่งเป็นโรงแรมในส่วนแอร์ไซด์ให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวทรานซิตที่รอต่อเครื่อง ภายใต้ชื่อ “โรงแรมมิราเคิล ทรานซิต” บริเวณชั้น 4 Concourse A มีห้องพัก 33 ห้อง พื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ลงทุนไปกว่า 150 ล้านบาทนั้น ที่ผ่านมาประสบภาวะขาดทุนหนัก
ทั้งนี้ เนื่องจากการเปิดให้บริการในปัจจุบันไม่สอดรับกับแผนในช่วงเริ่มต้นออกแบบการใช้งานของอาคาร Sat-1 ซึ่งในช่วงก่อนเปิดให้บริการนั้น ท่าอากาศยานไทยออกแบบมาเพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ที่เป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ จึงต้องมีห้องพักรองรับนักท่องเที่ยวที่รอต่อเครื่อง แต่พอเปิดอาคารนี้กลับกลายเป็นเอาสายการบินโลว์คอสต์มาลงแทน จึงไม่มีนักท่องเที่ยวทรานซิตเลย ห้องพักที่สร้างมาก็ไม่มีลูกค้า
นอกจากนี้ ในโซนดังกล่าวยังมีห้องรับรอง Miracle Lounge ทั้ง Business Class และ First Class ออกแบบหรูหรา ที่นั่งส่วนตัว สะดวกสบาย ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มกว่า 30 เมนู มีมุมส่วนตัวสำหรับพักผ่อนหรือทำงาน พร้อมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงห้องอาบน้ำและห้องสูบบุหรี่ ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน
“ผมถูกเรียกเก็บเงินค่าใช้พื้นที่มาตลอด มันเจ็บปวดมาก ล่าสุดได้ทำหนังสือไปถึงการท่าอากาศยานไทย เพื่อขอให้พิจารณาหยุดการเรียกเก็บเงินไว้ก่อนไปแล้ว”
เลานจ์ดีสุดในเอเชีย-แปซิฟิก
สำหรับในส่วนของธุรกิจห้องรับรองผู้โดยสารภายในท่าอากาศยาน หรือ Miracle Lounge นั้นปัจจุบันให้บริการทั้งหมด 18 แห่ง กระจายอยู่ทั่วท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งด้านทิศตะวันออกและด้านทิศตะวันตก ขาออกภายในประเทศ และขาออกระหว่างประเทศ 13 แห่ง ตั้งแต่ Concourse A, C, F, G และ D บนเนื้อที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร และที่ท่าอากาศยานดอนเมืองอีก 5 แห่ง
โดยแต่ละแห่งออกแบบและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของผู้โดยสาร ทำให้ได้รับรางวัลเลานจ์ที่ดีที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก จาก Priority Pass ติดอันดับมา 4 ปี โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วโลก
แนะมีศักดิ์ศรี-ดึงกลุ่มคุณภาพ
นายใหญ่แห่ง “มิราเคิล กรุ๊ป” ยังสะท้อนภาพรวมด้านการท่องเที่ยวของประเทศด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ เห็นได้จากมาตรการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น มาตรการยกเว้นวีซ่า (Visa Free) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก
กระทั่งเกิดคำถามต่อไปอีกว่า เมื่อประเทศไทยเรารองรับนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มแล้ว เราจะสามารถดูแลนักท่องเที่ยวได้ขนาดไหน เพราะเมื่อต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้นกับชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
อาทิ การอุ้มหาย หรือเหตุการณ์ล่าสุดที่พบชาวต่างชาติเสียชีวิต 6 ราย ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านภาพลักษณ์ อาจทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกกลัวในการเดินทางเข้ามา
พร้อมทิ้งโจทย์ไว้ว่า ในระยะถัดไปการทำนโยบายด้านการท่องเที่ยว ประเทศไทยจะต้องมีศักดิ์ศรี เน้นรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ เข้ามาพำนักระยะยาว ไม่ใช่เน้นการดึงจำนวนคนเข้ามาในปริมาณมาก ขณะเดียวกันจะทำให้ผู้ก่อเหตุเลือกเข้ามากระทำสิ่งไม่ดีในประเทศไทยได้ เพราะอาจมองว่าประเทศไทยง่าย ทำอะไรก็ได้ รวมถึงเรื่องของกฎหมายที่ยังไม่รุนแรงมากนัก อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่ปลอดภัย