
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติได้คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า การท่องเที่ยวทั่วโลกจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 นี้ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าปี 2562 ประมาณ 2% โดยตลาดเอเชียเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
โดยในปี 2566 การท่องเที่ยวระหว่างประเทศอยู่ที่ 88% ของระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิด ดีมานด์การเดินทางในยุโรปและแอฟริกาฟื้นกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด ขณะที่จุดหมายปลายทางบางแห่ง เช่น ยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน แคริบเบียน อเมริกากลาง และอนุภูมิภาคแอฟริกาเหนือ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเกินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562 ไปแล้ว
ท่องเที่ยวฟื้นตัวเทียบปี’62
ล่าสุด “เดวิด แมนน์” หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ เอเชีย-แปซิฟิก ของมาสเตอร์การ์ด ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปี 2024 สิ่งที่ผลักดันการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ความนิยมของกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางในอีก 3 เดือนข้างหน้า รวมถึงรูปแบบการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ไว้ดังนี้
“เดวิด” บอกว่า สถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจมาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economic Institute) หรือ MEI ได้จัดทำรายงานเทรนด์การท่องเที่ยวประจำปี 2024 หรือ MEI Travel Report ซึ่งรวบรวมจากข้อมูลทางธุรกิจของผู้ใช้บัตรมาสเตอร์การ์ดโดยไม่ระบุชื่อ ครอบคลุมใน 74 ประเทศทั่วโลก รวมถึง 13 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองรับการใช้งานในพื้นที่มากกว่า 100 ล้านสถานที่ทั่วโลกโดยปีนี้จัดทำเป็นปีที่ 5 (ฉบับที่ 5) พบว่า ภาพรวมของการท่องเที่ยวมีทิศทางการฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่าจะยังไม่กลับมาเท่ากับปี 2019 (ก่อนการระบาดของไวรัสโควิด) แต่เชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะฟื้นตัวเต็มที่ในปีนี้ โดยจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยจะกลับสู่ภาวะปกติ หรืออยู่ในระดับเดียวกับปี 2019
อาเซียน-เอเชียใต้ บวกแล้ว 20%
เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในด้านการท่องเที่ยวยังคงแข็งแกร่งและมีปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
โดยปี 2567 นี้จะไม่ใช่เพียงแค่เป็นปีที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวจากโควิดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ปีนี้เป็นปีที่มีการฟื้นตัวเกินกว่าระดับก่อนการเกิดโรคระบาด และการฟื้นตัวนี้รวมไปถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
หากดูสถิติตาม Collider หรือช่องทางการเดินทางของนักท่องเที่ยวจะพบว่า ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยจากภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคเอเชียใต้ มีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปี 2562
“สะท้อนว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวที่กลับมาไม่ได้กลับมาเท่าเดิม แต่กลับมาได้มากกว่าเดิมแล้ว ขณะเดียวกันการเดินทางในบางพื้นที่ก็ยังคงต่ำกว่าปี 2562 อยู่ แต่ก็ใกล้จะกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาจากอเมริกา เอเชียตะวันออก และจีนแผ่นดินใหญ่”
จีนเดินทางออกนอกประเทศ 85%
“เดวิด” บอกด้วยว่า ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2567 พบว่า อัตราการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั้งขาเข้าและขาออกของจีนแผ่นดินใหญ่ก็กำลังฟื้นตัว และปัจจุบันปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศยังอยู่ในระดับที่ 85% ของปี 2562
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อถึงสิ้นปีภาพรวมของนักท่องเที่ยวจีนน่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติของช่วงก่อนโควิดได้
“การเดินทางขาออกของชาวจีนคาดว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
กรุงเทพฯติดท็อป 7
นอกจากนี้ยังพบว่า กรุงเทพฯเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2024 โดยอยู่ในอันดับที่ 7 สำหรับนักเดินทางทั่วโลก และอันดับที่ 3 สำหรับนักเดินทางจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับที่ 1 สำหรับนักเดินทางจากสิงคโปร์และฮ่องกง
และพบว่าในปีที่ผ่านมา ตัวเลขการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมวดหมู่เครื่องแต่งกายทั่วไปเพิ่มขึ้นถึง 68.6% การใช้จ่ายด้านการรับประทานอาหารไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) เพิ่มขึ้นถึง 42.5% และการใช้จ่ายด้านการรับประทานอาหารแบบทั่วไปเพิ่มขึ้นถึง 41.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
โดยประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเทศไทย เป็นตลาดเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการใช้จ่ายด้านการรับประทานอาหารไฟน์ไดนิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าการรับประทานอาหารแบบสบาย ๆ
“ค่าเงิน-อีเวนต์” กระตุ้นเดินทาง
นอกจากนี้ จากสถิติการใช้จ่ายหมวดหมู่การเดินทางทั่วโลกยังพบว่ามี 3 จุดที่น่าสนใจ คือ 1.ข้อมูล ณ มีนาคม 2567 โดยระบุว่า ตัวเลขเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 การท่องเที่ยวของโลกได้ทำลายสถิติไปแล้ว 9 เรื่อง จาก 10 เรื่อง ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นกลับมาแล้วจริง
2.สถานที่ที่นักท่องเที่ยวเลือกไปนั้นเป็นประเทศหรือเมืองที่ราคาไม่ได้ขึ้นมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าโรงแรม โดยจากข้อมูลพบว่าหากโรงแรมขึ้นราคาแต่ยังอยู่ในระดับที่รับได้ นักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยจะพักนานขึ้น ซึ่งประเทศไทยอันดับอยู่ช่วงกลาง ๆ คือ เพิ่มขึ้นประมาณ 1 วัน
และ 3.ปัจจัยที่ทำให้รูปแบบการท่องเที่ยว หรือการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป โดยมี 2 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย 1.อัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงิน ซึ่งชัดเจนมากกรณีญี่ปุ่นที่ค่าเงินอ่อนค่า ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าถูก ทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา
และ 2.อีเวนต์ หากประเทศหรือเมืองนั้น ๆ มีอีเวนต์ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น กีฬา คอนเสิร์ต การแสดงต่าง ๆ และความบันเทิงในระดับนานาชาติอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นรูปแบบของการเดินทางข้ามพรมแดนได้เช่นกัน
รวมถึงเรื่องของสภาพอากาศด้วย โดยประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่สภาพอากาศมีความพอดี ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้มีความได้เปรียบ และนักท่องเที่ยวอยากพักนานขึ้น
นักท่องเที่ยวนิยมกินหรู
สำหรับประเด็นเรื่องการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นพบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นในหมวดหมู่เครื่องแต่งกายทั่วไป รวมถึงการรับประทานอาหารแบบ Fine Dining และการรับประทานอาหารแบบทั่วไป
สำหรับประเทศไทยนั้นรายงานดังกล่าวระบุว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2567 นักท่องเที่ยวใช้จ่ายไปกับการรับประทานอาหารแบบ Fine Dining เพิ่มขึ้นประมาณ 42.5% สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายในการรับประทานอาหารแบบทั่วไป ซึ่งอยู่ที่ 41.6%
และประเทศไทยยังเป็นตลาดเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการใช้จ่ายไปกับการรับประทานอาหารแบบ Fine Dining เพิ่มขึ้นมากกว่าการรับประทานอาหารแบบทั่วไป
และหากเทียบกับตลาดอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ จะพบว่านักท่องเที่ยวใช้จ่ายไปกับการรับประทานอาหารแบบทั่วไปมากกว่าการรับประทานอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งอาจเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่ค่อนข้างแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในขณะที่ค่าเงินบาทไม่แข็งค่ามากนัก ดังนั้นการใช้จ่ายเพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining จึงอาจถูกมองว่ามีความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากกว่าในประเทศไทย
นักท่องเที่ยวพักเฉลี่ย 7.7 วัน
หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ เอเชีย-แปซิฟิก ของมาสเตอร์การ์ด ยังให้ข้อมูลอีกว่า ค่าเฉลี่ยระยะเวลาในการพักผ่อนทั่วโลก คือ 5.5 วันต่อทริป (ข้อมูลตั้งแต่เมษายน 2566-มีนาคม 2567) เทียบกับ 4.5 วัน ก่อนการระบาดของโควิด-19
สำหรับประเทศไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามามีอัตราการพักเฉลี่ย 7.7 วันต่อทริป เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดโควิด-19 ที่ใช้เวลาเฉลี่ย 6.7 วัน และถือว่านานกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
โดยส่วนหนึ่งของเหตุผลที่นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย และพักอาศัยนานกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกนั้นเป็นผลจากประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีราคาย่อมเยา และสามารถกินหรูอยู่สบายได้
บาหลี-ลอนดอน-กรุงเทพฯ 3 จุดหมายปลายทางมาแรง !
จากรายงานของ MEI Travel Report 2024 โดยสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจมาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economic Institute) ยังได้ระบุถึงจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกและนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้วยว่า จากข้อมูลการจองเที่ยวบินพบว่า กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 7 จุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงสำหรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2567 สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนนี้
นอกจากนี้ ยังเป็นอันดับที่ 3 สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากเอเชีย-แปซิฟิก อันดับที่ 1 สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากสิงคโปร์และฮ่องกง อันดับที่ 2 สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากฟิลิปปินส์ อันดับที่ 3 สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากเบลเยียม และอันดับที่ 3 สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากสเปน
สำหรับจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2567 ได้แก่ มิวนิก ประเทศเยอรมนี ครองอันดับ 1 เนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้นำอันดับที่ 2 สาเหตุหลักมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี
3.เมืองติรานา ประเทศแอลเบเนีย อยู่ในอันดับที่ 3 อาจเนื่องมาจากความต้องการจุดหมายปลายทางทางเลือกที่มีราคาต่ำกว่า ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้น และกรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 7
ขณะเดียวกัน ยังพบว่าจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงในหมู่นักท่องเที่ยวจากเอเชีย-แปซิฟิกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2567 ได้แก่ บาหลี ลอนดอน และกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 3 เมื่อผู้คนจองที่พักจากประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
การจัดอันดับจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงเหล่านี้ MEI Travel Report 2024 วิเคราะห์จากข้อมูลการจองเที่ยวบินของเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2567 สำหรับแต่ละประเทศ หรือเมืองปลายทาง จากนั้นเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง หรือการเพิ่มขึ้นของการจองเที่ยวบินในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2567 กับช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2562
โดยจุดหมายปลายทางต่าง ๆ จะได้รับการจัดอันดับตามเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ซึ่งหมายถึงเมืองต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มการจองมากที่สุด ไม่ใช่การจัดอันดับเมืองตามส่วนแบ่งการจองการเดินทางทั่วโลกตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567
ไม่เพียงเท่านี้ ยังพบอีกว่าจุดหมายปลายทางยอดนิยมในประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศปี 2567 (ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567) ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี (พัทยา) เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงราย
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าสัดส่วนการใช้จ่ายเงินภายในโรงแรมมีจำนวนลดลง การใช้จ่ายในค้าปลีกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
จากแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนชัดเจนว่า ปี 2567 นี้เป็นปีแห่งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทยได้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว…