คอลัมน์ : สัมภาษณ์
ต้องยอมรับว่าในยุคของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เป็นยุคที่ให้ความสำคัญและไล่ปลดล็อกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคของภาคธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก โดยเฉพาะมาตรการ “วีซ่าฟรี” รวมถึงการประกาศนโยบาย Ignite Thailand Tourism ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง หรือ Tourism Hub ของภูมิภาค
จึงเป็นที่จับตาว่าการปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศหรือนายกรัฐมนตรี จาก นายเศรษฐา ทวีสิน เป็น “แพทองธาร ชินวัตร” รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีในอีกหลายกระทรวงรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อนโยบายการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยหรือไม่
มั่นใจนายกฯใหม่หนุนท่องเที่ยว
“โกจง-ชำนาญ ศรีสวัสดิ์” ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ในประเด็นดังกล่าว รวมถึงฝากถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐบาลใหม่ ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนท่องเที่ยวไว้ดังนี้
“ชำนาญ” บอกว่า ในมุมของภาคเอกชนท่องเที่ยวมองว่าในแง่ของการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวนั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนเดิมและรัฐบาลชุดเก่าทำไว้นั้นถือว่าดีในระดับหนึ่งแล้ว และมองว่านับจากนี้ไม่ว่าใครก็ตามจะมาเป็นรัฐบาล หรือเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม จึงเชื่อมั่นว่านโยบายการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นไปในทิศทางเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ที่สำคัญเชื่อว่านโยบาย Ignite Thailand Tourism จะยังคงอยู่ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดียวที่ยังสามารถขับเคลื่อนต่อได้ดีที่สุดในเวลานี้
“สิ่งที่เป็นห่วงคือ การท่องเที่ยวของไทยยังคงขับเคลื่อนได้ในเชิงปริมาณ ซึ่งเชื่อว่าสามารถถึงเป้าหมาย 36-37 ล้านคน ได้แน่นอน แต่ในเชิงของรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นอาจยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย”
ท่องเที่ยวยังโตไม่เต็มศักยภาพ
“ชำนาญ” บอกด้วยว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังคงยืนยันว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในวันนี้ยังเติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพ เพราะดีมานด์ในตลาดเป้าหมายมีเยอะมาก เพียงแต่เราต้องหาวิธีที่จะทำให้เขามาแล้วเกิดความประทับใจในมุมที่ดีและเกิดการบอกต่อได้อย่างไร
“ผมพูดมาตลอดว่าจำเป็นอย่างมากที่รัฐบาลต้องดึงเอกชนเข้าไปร่วมขับเคลื่อนให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อหาแนวทางการทำงานร่วมกัน และต้องทำให้เกิด Customer Journey ที่ดีในทุก ๆ กระบวนการของการเดินทาง ตั้งแต่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากระทั่งกลับบ้านไป เช่น ได้รับความสะดวก ปลอดภัย โรงแรมและอาหารต้องดีมีมาตรฐาน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ”
ทั้งนี้ เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นในการรองรับนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต
ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพให้คนตัวเล็ก หรือเอสเอ็มอีท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี หากไม่รีบทำจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
เพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องรีบแก้โจทย์เรื่องรายได้นักท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการจำนวนมากได้นำเสนอผ่านสภาท่องเที่ยวมาว่า หากรัฐบาลต้องการขับเคลื่อนด้านเป้าหมายรายได้จำเป็นต้องให้ความสำคัญใน 4 เรื่องใหญ่
ได้แก่ 1.มุ่งเน้นการเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพ หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เช่น นักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลาง (แขกอาหรับ) โดยต้องเร่งสร้างมัคคุเทศก์ภาษาอาหรับรองรับ และทำงานร่วมกับบริษัทนำเที่ยวที่มีความเชี่ยวชาญตลาดอาหรับให้มากขึ้น
เนื่องจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวอาหรับส่วนใหญ่จะมียอดการใช้จ่ายที่สูง เนื่องจากนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเพื่อรักษาพยาบาล และเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ มีผู้ติดตามจำนวนมาก
2.ดึงกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาช่วยทำเรื่องมาตรฐานของธุรกิจเวลเนส และเมดิคอลฮับอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากมีมาตรฐานจะทำให้ตลาดของนักท่องเที่ยวกลุ่มเวลเนสทัวริซึ่ม หรือนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาล จะมีโอกาสและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ชงใช้บริษัททัวร์ดันเมืองน่าเที่ยว
สำหรับประเด็นที่ 3 คือ เรื่องของการเพิ่มศักยภาพให้กับซัพพลายไซด์ของภาคธุรกิจท่องเที่ยวในทุกเซ็กเตอร์ ทั้งแหล่งท่องเที่ยว และบุคลากรในภาคธุรกิจท่องเที่ยว และ 4.วางแผนและพัฒนาเมืองรองให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเวิร์ดดิ้งก็กลายเป็นเมืองน่าเที่ยวแล้ว
“ผมว่าการขับเคลื่อนเมืองน่าเที่ยวในช่วงเริ่มแรกนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้บริษัทนำเที่ยว หรือบริษัททัวร์เข้ามาช่วยขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากเมืองดังกล่าวส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความพร้อมในด้านการรองรับและการคมนาคมขนส่ง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบริษัททัวร์บริหารจัดการ เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจและกลับไปบอกต่อ”
มุ่งสู่ “กรีนทัวริซึ่ม”
ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังบอกด้วยว่า นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีใหม่ ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Sustainable Tourism หรือ Green Tourism เพื่อทำให้การท่องเที่ยวของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน
“ตอนนี้ให้ความสำคัญเรื่อง Sustainable Tourism หรือ Green Tourism อย่างมาก ดังนั้นเราต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราว และทำให้สามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง ไม่แค่จัดเสวนาและบอกว่าท่องเที่ยวไทยต้องเดินไปในแนวนั้นแนวนี้เท่านั้น ต้องมีกระบวนการขับเคลื่อนที่ชัดเจน”
พร้อมย้ำว่า การปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตีของรัฐบาลครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
จึงมีเพียงแค่ข้อเสนอเพิ่มเติมหลัก ๆ 4 ข้อดังกล่าวเท่านั้น โดยย้ำว่าทั้ง 4 ข้อเสนอนี้ รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้