เพิ่มรายได้-สร้างเอ็กซ์พีเรียนซ์ โจทย์ใหญ่ปั้นไทยฮับท่องเที่ยวภูมิภาค

onair

ตามนโยบาย Ignite Thailand Tourism และการพัฒนา Soft Power จุดเด่นของประเทศไทยผ่านมาตรการต่าง ๆ โดยล่าสุด (1 มกราคม-18 สิงหาคม 2567) พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วถึง 22,474,172 คน สร้างรายได้รวมประมาณ 1,058,026 ล้านบาท

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (4,555,262 คน) มาเลเซีย (3,104,092 คน) อินเดีย (1,294,076 คน) เกาหลีใต้ (1,193,255 คน) และรัสเซีย (1,053,724 คน)

สมาคมโรงแรมไทย (THA) ได้จัดบรรยายพิเศษ Ignite Thai Hotels and Tourism 2025 เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยมี นางสาวเด่นเดือน เหลืองเช็ง ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายดังนี้

กระจายรายได้-กระตุ้นโลว์ซีซั่น

“เด่นเดือน เหลืองเช็ง” ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวคือ การกระจายรายได้ ควบคู่กับการรักษาระบบนิเวศ โดยจะมุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในทุกมิติ และสร้างความประทับใจด้วยการสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยก่อนการเดินทางให้ข้อมูลครบถ้วนหลากหลาย

ทำการส่งเสริมการตลาดกับเครือข่ายให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ในทุกมิติ สร้างความประทับใจด้วยมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวที่มีมาตรฐาน สร้างความน่าสนใจของเส้นทางการท่องเที่ยวภายในประเทศ

โดยต้องมีการกระจายพื้นที่ ผลักดันเมืองรองให้เป็นเมืองน่าเที่ยว ซึ่งก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 นักท่องเที่ยวกว่า 80% ที่เดินทางเข้ามาในไทยมีการกระจุกตัวอยู่แค่ 5 จังหวัดหลักในประเทศไทย ทำให้ภาครัฐต้องออกนโยบายมาเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง

ADVERTISMENT

พร้อมทั้งพัฒนาเส้นทางการบิน เส้นทางรถไฟ ท่าเรือ แม่น้ำ และอื่น ๆ ให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงแหล่งชุมชนได้อีกด้วย รวมถึงการกระจายเวลาให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางตลอดทั้งปี ไม่มี Low Season ในไทย

ททท.เองได้มีการโปรโมตแคมเปญ “ไทยเที่ยวไทย” ปักหมุดดึงนักท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดต่าง ๆ ขณะเดียวกันในตลาดต่างประเทศยังมีการผลักดันตลาด Short Haul เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ให้เกิดการเดินทางที่ไม่กระจุกตัว

ADVERTISMENT

“ททท.จะมุ่งผลักดันแคมเปญต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวสู่เป้าสร้างรายได้เชิงนโยบายที่ 3.5 ล้านล้านบาท และคาดว่าปี 2568 จะมีรายได้อยู่ที่ 39 ล้านล้านบาท”

“บินไทย” รุกขยายเครือข่าย

ด้าน “กรกฎ ชาตะสิงห์” ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ “การบินไทย” บอกว่า การบินไทยได้นำเสนอทิศทางการดำเนินงานของสายการบินพาณิชย์ ภายใต้กรอบ “Trust in THAI” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในเครือข่ายพันธมิตร มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารที่หลากหลาย

รวมถึงการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุด ซึ่งความร่วมมือทางการตลาดในการรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย Thailand Tourism Hub ปัจจุบันมีลูกค้าในเครือข่ายพันธมิตรที่มาจากตลาดต่างประเทศรวม 75% เช่น ยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย เป็นต้น

โดยที่ผ่านมา “การบินไทย” ได้กลับมาทำการบินสู่เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี และกรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเดินทาง และพัฒนาความร่วมมือกับสายการบินคูเวตแอร์เวย์ส ในรูปแบบเที่ยวบินรหัสร่วมเชื่อมต่อเครือข่ายไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และยุโรป

ทำให้มีผู้โดยสารรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 จำนวน 3.81 ล้านคน และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 73.2%

กราฟฟิก นักท่องเที่ยวสะสม

“กรกฎ” บอกด้วยว่า ในปีปกติการบินไทยมีจำนวนผู้โดยสาร 19 ล้านคนต่อปี ปีนี้ได้มาแล้วประมาณ 8 ล้านคน เชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีจำนวนผู้โดยสารรวม 16 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีจำนวนผู้โดยสารกลับมาใช้บริการได้ประมาณ 90-95% ของปี 2019 หรือก่อนสถานการณ์โควิด

ในไตรมาส 3-4 หลังจากนี้ยอมรับว่ายังต้องเผชิญความท้าทายในหลายประเด็น ทั้งในกลุ่มธุรกิจการบิน และธุรกิจนำเที่ยว และยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ผลจากการอ่อนค่าของเงินบาท อัตราค่าบริการภาคพื้น และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น

โดยปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายปรับตัวสูง ประกอบกับหนี้สินในรูปเงินดอลลาร์เมื่อแปลงเป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น และค่าบริการในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายการบริการผู้โดยสารที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะทำให้อัตราการทำกำไรลดลง

เพิ่มโฟกัสตลาดเอเชีย-แปซิฟิก

“กรกฎ” บอกด้วยว่า ในอดีตเครื่องบินของการบินไทย 90% เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง หรือ Wide-body สำหรับเส้นทางบินระยะยาว (Long-haul) อีก 10% เป็นเครื่องบินลำตัวแคบ หรือ Narrow-body สำหรับเส้นทางบินระยะสั้น (Short-haul) แต่แนวโน้มในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าการบินไทยจะมีฝูงบินรวม 143 ลำ

ในจำนวนนี้จะมีสัดส่วนของเครื่อง Wide-body ประมาณ 70% หรือ 90 ลำ และ Narrow-body ในสัดส่วนประมาณ 30% หรือ 50 ลำ โดยการบินไทยจะให้น้ำหนักกับเส้นทางบินระยะสั้นมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ

“ปัจจุบันมีเที่ยวบินสู่ยุโรป 10 เมือง จำนวน 84 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ออสเตรเลีย 3 เมือง จำนวน 35 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และเอเชีย 40 เมือง จำนวน 471 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 61 เมือง 807 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ หลังจากนี้มั่นใจว่าในระยะ 10 ปีข้างหน้าการเติบโตในเอเชีย-แปซิฟิกจะมาเป็นอันดับ 1”

หนุนไทยเป็นฮับการบินภูมิภาค

“กรกฎ” บอกอีกว่า การบินไทยได้พยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฮับการบินของภูมิภาคตามนโยบาย Ignite Thailand Tourism โดยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฮับในการเชื่อมต่อเส้นทางบินไปยังประเทศอื่น ๆ หรือเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกใช้เป็นจุดต่อเครื่อง (Transit) ไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ไม่ใช่ให้บริการเพียงแค่ Point to Point เท่านั้น

สำหรับกรณีการนำเครื่องบินแบบ A320 จากสายการบินไทยสมายล์เข้าประจำการในฝูงบินนั้น ปัจจุบันได้ส่งผลให้ประสิทธิภาพการบริหารจัดการฝูงบินและผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มรองรับความต้องการของผู้โดยสารได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถบริหารการใช้เครื่องบินจาก 9 ชั่วโมง เป็น 12 ชั่วโมง ตอบสนองการฟื้นตัวของตลาดได้ทันเวลา

ชี้นักท่องเที่ยวเดินทางใกล้-พักนานขึ้น

“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท “ดุสิตธานี” มองว่า ธุรกิจวันนี้จะโตคนเดียวไม่ได้ ต้องเดินไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นไม่เพียงแค่ในภาคของธุรกิจโรงแรมเท่านั้น แต่ทุกเซ็กเตอร์ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวต้องเที่ยวต้องเดินไปพร้อมกัน เนื่องจากการจะช่วงชิงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวได้นั้นเป็นเรื่องของความปลอดภัย สะดวก สบาย และคุ้มค่า

สำหรับเทรนด์ของการท่องเที่ยวในปัจจุบันนั้น มองว่ามี 4 เรื่องหลัก ๆ คือ 1.นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางใกล้ขึ้น 2.มุ่งเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว 3.การนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับสร้างประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยว และ 4.ต้นทุนการเดินทางยังมีราคาสูง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พักนานขึ้น

จึงมองว่าโจทย์ใหญ่ของภาคการท่องเที่ยวไทยในวันนี้ คือ ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบไหนให้นักท่องเที่ยวที่มา เพื่อให้เขาเกิดความปลอดภัย สะดวก และพร้อมใช้จ่ายเพิ่มขึ้น